有觉性 以安住且中立的心 照见身心的实相

D24.59《优秀佛教徒应具备的素质》-隆波帕默尊者-2024年7月7日:修订间差异

来自法藏
无编辑摘要
标签手工回退
无编辑摘要
 
(未显示同一用户的3个中间版本)
第4行: 第4行:


[[文件:D24.59《隆波帕默尊者开示》-2024年7月7日.mp4|center]]
[[文件:D24.59《隆波帕默尊者开示》-2024年7月7日.mp4|center]]
<center>[[D24.59《隆波帕默尊者开示》-2024年7月7日-Thai|泰文原文]]</center>




第171行: 第174行:
译者声明:由于受到语言以及个人修证水平所限,跨越语种后很难如实还原隆波帕默尊者的本意。译作若有任何不精准之处,完全归责于我们,欢迎大家不吝指正。
译者声明:由于受到语言以及个人修证水平所限,跨越语种后很难如实还原隆波帕默尊者的本意。译作若有任何不精准之处,完全归责于我们,欢迎大家不吝指正。


文字整理: [[当下就启程吧]]
泰文原文
คุณสมบัติของชาวพุทธที่ดี การภาวนาอย่าใจร้อน มีคนมาถามหลวงพ่อเรื่อยๆ ว่าทำไมมันไม่ก้าวหน้าสักที จะก้าวไปไหน ไม่ต้องก้าวไปไหน อยู่กับปัจจุบัน คิดแต่จะไป จะไปไหน อยู่กับปัจจุบันให้ได้ มันจะไม่มีคําว่า ช้าไป เร็วไป ช้าไปก็เพราะมันไม่ได้อย่างใจ เร็วไปก็เหมือนกัน
บางคนภาวนาคิดเยอะ กลัวจะได้มรรคผลเร็ว มี ประหลาดๆ บางคนกลัวว่าถ้าเกิดภาวนาแล้วเกิดเป็นพระอนาคามีอย่างนี้ จะเสพกามไม่ได้ โอ๊ย อย่าไปกลัวเลย คนเขาตั้งใจภาวนา เขายังไปไม่ค่อยจะได้ นี่กลัวก็ไปไม่ได้ พวกหนึ่งก็อยากเหลือเกิน อยากได้ธรรมะเร็วๆ อยากนิพพาน นิพพานไม่ได้มาเพราะความอยากหรอก แต่ได้มาเพราะสิ้นอยาก แล้วสิ้นอยากก็เพราะมีปัญญา มีเหตุมีผลทั้งหมด ถ้าเรามีปัญญาเห็นความจริงของรูปนามกายใจ ถึงจะสิ้นอยาก ถ้าปัญญาอื่นๆ ก็ยังไม่สิ้นอยากหรอก
คุณสมบัติของจิตที่จะตกกระแสธรรมได้ ฉะนั้นงานหลักของเราจริงๆ คือเรียนรู้กายรู้ใจของเรา หน้าที่ของชาวพุทธเราคือเราเป็นนักศึกษาๆ ศึกษาอะไร ศึกษาตัวเอง เรียนรู้กายเรียนรู้ใจของตัวเองไป พอมันรู้ถ่องแท้ กายนี้ใจนี้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่มีอะไร ไม่มีตัวมีตน ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา อันนี้จิตเขาเรียกว่ามันตกกระแสธรรมแล้ว จิตตกกระแสธรรม มันก็จะเที่ยงต่อการที่จะพ้นทุกข์ไป วันหนึ่งจะต้องได้เป็นพระอรหันต์แน่
ฉะนั้นเรามาทำความเข้าใจ จิตที่มันจะตกกระแสธรรมได้ คุณสมบัติสําคัญของพระโสดาบัน เราก็เรียนเรียกโสตาปัตติยังคะ ไปอ่านเอาเองก็แล้วกัน เดี๋ยวนี้ตําราอยู่ในอินเทอร์เน็ตเยอะแยะ สมัยก่อนไม่ค่อยมี อยากเรียนอะไรสักเรื่อง ค้นหนังสือแทบตายเลย เดี๋ยวนี้ง่าย ถ้าเราอยากไปถึงความเป็นพระโสดาบันเร็วๆ ก็อย่าไปอยาก แต่ทำหน้าที่ศึกษาตัวเองให้ถ่องแท้ไป สํารวจใจเรา ใจเรามีความมั่นคงต่อพระรัตนตรัยไหม ใจเรามีศีลดีงามไหม ถ้ายังไม่ดีงามก็พยายามถือให้มันดี
คุณสมบัติของพระโสดาบัน ท่านนับถือพระรัตนตรัยแน่นแฟ้น ของเรายังคลอนแคลนไหม สํารวจเอา เอาเข้าจริงก็คลอนแคลน คนที่นับถือพระรัตนตรัยจริงๆ มีไม่มากหรอก ส่วนใหญ่ก็นับถือผลประโยชน์ อย่างไปไหว้พระ ก็หวังว่าจะเฮงจะรวยอะไรอย่างนี้ อันนั้นไม่ได้นับถือพระรัตนตรัย ถึงไปไหว้พระก็ตามก็ยังไม่ใช่นับถือพระรัตนตรัย เข้าไปหาพระสงฆ์ครูบาอาจารย์ ไปให้รดน้ำมนต์ ขอโชคขอลาภอะไร อันนั้นก็ไม่เรียกว่านับถือว่าพระรัตนตรัย นอกรีตนอกรอยไป นับถือพระรัตนตรัยก็คือเป็นที่พึ่งที่อาศัยของเราเพื่อความพ้นทุกข์จริงๆ
เราดู พระพุทธเจ้าท่านไม่อยู่แล้ว สิ่งที่ท่านให้เป็นตัวแทนท่านก็คือธรรมวินัย พระธรรม พระวินัย เราเคารพพระธรรมพระวินัยจริงไหม อย่างพระธรรมบอกว่าไม่ให้ทำชั่ว เราขยันทำไหม ถ้าเรายังทำชั่วได้หน้าตาเฉย ก็เรียกเราไม่เคารพพระธรรมวินัย ก็เรียกเราไม่ได้เคารพพระรัตนตรัย ไม่แน่นแฟ้น
หาพระสงฆ์ก็นับถือเป็นพระเกจิ ไม่ใช่ว่าท่านไม่ดี พระเกจิท่านก็ดีอย่างของท่าน ท่านก็สงเคราะห์พวกที่อินทรีย์อ่อน อย่างแจกวัตถุมงคลแจกอะไร เป็นที่พึ่งทางใจของคนที่ยังอินทรีย์อ่อนอยู่ คนไหนอินทรีย์แข็งท่านก็สอนธรรมะให้ ครูบาอาจารย์กระทั่งในสายวัดป่าท่านก็ทำแบบนี้ก็มี หลวงปู่มั่นท่านก็ยังเคยจารตะกรุดเลย แต่ว่าทำไม่เยอะ เพราะวัตถุประสงค์หลักของท่าน งานหลักของท่านคืองานสืบทอดธรรมะ
ฉะนั้นเราสํารวจตัวเอง เรามั่นคงกับพระรัตนตรัยแค่ไหน หรือเราเห็นพระรัตนตรัยเป็นบ่อเงินบ่อทอง เป็นที่แสวงหาผลประโยชน์ คนจํานวนมากเอาศาสนาไปแสวงหาผลประโยชน์ ถ้ามาอยู่แถววัดหลวงพ่อ หลวงพ่อก็ไม่ให้เข้าวัด ไล่ไป ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นของสูง ไม่ใช่เอาไว้หากิน
ดูตัวเองอีกข้อหนึ่ง นอกจากเราเคารพพระรัตนตรัยจริงจังไหม เคารพพระรัตนตรัย ต้องเรียนธรรมะ ต้องศึกษา พระธรรมวินัยเป็นตัวแทนของพระศาสดา อีกข้อหนึ่งเรามีศีลดีงามไหม สํารวจตัวเอง ถ้าศีลเรายังด่างพร้อยอยู่ เราก็ยังไม่ใช่ชาวพุทธที่ดี ไม่ใช่ลูกที่ดีของพระพุทธเจ้า เราไม่เคารพพระพุทธเจ้า ท่านสอนให้เราถือศีลแล้วเราไม่ถืออะไรอย่างนี้ ถ้าเรายังทำผิดศีลหน้าตาเฉย จะบอกว่าภาวนาไม่ก้าวหน้า ก็อย่าพูดดีกว่า ไม่ใช่ชาวพุทธที่แท้จริง จะก้าวหน้าอะไร ไม่ลงนรกก็บุญแล้ว
อีกข้อหนึ่งก็คือเราเชื่อกฎแห่งกรรมไหม หรือเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง หรือบางวันไม่เชื่อเลยอะไรอย่างนี้ สํารวจตัวเอง คนที่เชื่อกฎแห่งกรรมก็จะเชื่อว่า เราจะต้องพ้นทุกข์ไปด้วยความเพียรของเราเอง เราทำกรรมที่เหมาะสมเราก็ได้รับผลที่เหมาะสม เราทำทาน ถือศีล ภาวนาถูกต้อง ทำมาก เราก็ได้ผล ได้มรรคได้ผลไป ฉะนั้นมันอยู่ที่การกระทำของเราเอง อย่างถ้าเราทำชั่วเราไปขอพรพระทั้งหลายอะไรนี่ ขอพรเทวดาทั้งหลายไม่มีใครช่วยเราได้
มงคลตื่นข่าว ฉะนั้นชาวพุทธที่ดี อย่างพระโสดาบันท่านจะไม่เชื่อเรื่องมงคลตื่นข่าว มงคลตื่นข่าวก็คือมีข่าวว่าอันนั้นดีอันนี้ดี ก็ตื่นเต้น ดีอกดีใจ เมื่อก่อนหลวงพ่อก็เห็นบ่อยๆ กระทั่งบางเรื่องไม่น่าจะเป็นมงคลตื่นข่าวแต่เอาเข้าจริงแล้วก็เป็นมงคลตื่นข่าว อย่างมีพระบางองค์คนนับถือเยอะ ได้ยินว่าพระองค์นี้ดี นับถือ คนนับถือเยอะ มันต้องดีแน่นอนอะไรอย่างนี้ เวลาพระนี้จัดกิจกรรมไปบิณฑบาต โอ๊ย คนแห่เป็นพันเป็นหมื่นคน นี่เชื่อมงคลตื่นข่าว
หรือเมื่อก่อนก็เชื่อที่อินเดีย ฤๅษีชีไพรมีฤทธิ์เยอะอย่างโน้นอย่างนี้ หรือเชื่อว่าพระพุทธเจ้ากลับชาติมาเกิดที่เนปาลอะไรอย่างนี้ พวกนี้เรียกมงคลตื่นข่าวทั้งสิ้นมันไม่มีเหตุมีผลอะไร จิตใต้สํานึกที่เราวิ่งไปหาสิ่งเหล่านี้ก็เพราะความอ่อนแอของเราเอง เราไม่คิดจะพึ่งตัวเอง ไม่คิดจะสร้างคุณงามความดีด้วยตัวเอง คิดจะพึ่งคนอื่น คิดจะพึ่งสิ่งอื่น หรือต้นตะเคียนต้นนี้ขลัง ไปไหว้ไปกราบ สารพัดที่จะมีจะเป็น
ในเมืองไทยเต็มไปด้วยนิยายสร้างกันขึ้นมา แล้วก็มีสินค้าตามนิยายขึ้นมาอีก แล้วก็เห่อเป็นรุ่นๆ ไป เป็นช่วงๆ ไป ช่วงนี้เห่อเรื่องนี้ๆ แล้วสุดท้ายชีวิตมันก็ทุกข์เหมือนเดิม ไม่เห็นมันจะมีอะไรดีขึ้นมา เพราะฉะนั้นเราต้องไม่งมงาย ความงมงายไม่ใช่เรื่องของชาวพุทธ พระโสดาบันไม่งมงาย เราอยากเป็นโสดาบัน เราก็อย่างมงาย เราต้องเชื่อเรื่องกรรม มีกรรมกับมีผลของกรรม ต้องค่อยๆ ฝึกตัวเอง อีกอันหนึ่งพอเรารู้ว่าเราต้องพึ่งตัวเอง แล้วก็ประพฤติปฏิบัติถูกต้อง
บางคนเป็นโรคมงคลตื่นข่าว ท่านผู้นี้ดี เราก็ไปทำบุญด้วย มีเงินมีทองทุ่มเข้าไปเป็นล้านเลย หวังว่าเราจะได้ดิบได้ดี เมื่อก่อนก็มีแบบในเครื่องแบบพระนี่ล่ะ ใครอยากภาวนาดีๆ ต้องจ่ายสตางค์แล้วก็พาขึ้นภูเขาไปภาวนา ใจก็ปิติ ได้เข้าใกล้คนดัง ปีติ ภาวนาดี อันนั้นไม่ใช่การทำบุญในขอบเขตของพระพุทธศาสนา กระทั่งเอาเงินไปให้วัดให้พระ แต่ว่าให้โดยวัตถุประสงค์ที่ไม่ถูกต้อง ไม่ใช่บํารุงพระศาสนา แต่ให้เพื่อติดสินบนจะได้เป็นคนใกล้ชิดจะได้อะไรอย่างนี้ อันนั้นเรียกเป็นบุญนอกพระพุทธศาสนาแล้ว
เราเห็นคนศาสนาอื่นเขาลําบาก เราสงเคราะห์ช่วยเหลือ เขาอดข้าวอะไรอย่างนี้ ให้ข้าวเขากิน อันนี้เป็นบุญในพระศาสนา กระทั่งทำกับคนนอกศาสนา มันทำด้วยเหตุด้วยผล ทำไปเพื่อลดละกิเลสของตัวเอง สิ่งเหล่านี้เราควรจะต้องประพฤติปฏิบัติ
เราต้องเคารพพระธรรมพระวินัย พยายามพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ ไม่รีบร้อน ไม่ได้ภาวนาด้วยความอยาก อยากจะดีเร็วๆ ความอยากเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ความอยากไม่ใช่เหตุแห่งความพ้นทุกข์ ฉะนั้นอย่าภาวนาด้วยความอยาก ให้ตั้งใจอย่างเดียวว่าเราจะภาวนาเป็นเครื่องบูชาพระพุทธเจ้า เราจะปฏิบัติบูชาไม่ได้เพื่อเอาอะไรเข้าตัว เราจะบูชาคุณของท่าน ท่านมีพระคุณมากมาย ท่านค้นคว้าธรรมะมาด้วยความยากลําบาก แล้วก็อุตส่าห์มาสอนด้วยความยากลําบาก
สอนธรรมะไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อก่อนมีครูบาอาจารย์องค์หนึ่ง ท่านบอกว่าสอนธรรมะเหมือนเข็นควายขึ้นภูเขา โบราณมันมีคําหนึ่ง เข็นครกขึ้นภูเขา ครกตำข้าวลูกใหญ่ๆ เข็นไม่ใช่ง่าย เข็นครกขึ้นภูเขา ครูบาอาจารย์ท่านบอกรุ่นนี้ไม่ใช่ครกแล้ว รุ่นนี้เข็นควายขึ้นภูเขา เข็นมันมากๆ มันก็แว้งขวิดเอา
เราต้องพยายามช่วยตัวเองให้มาก เรียนหลักของการปฏิบัติ เราลงมือปฏิบัติไม่ใช่เพื่อเอาผลประโยชน์อะไรเข้าตัว ไม่ใช่เพื่อกระทั่งมรรคผลนิพพาน ถือว่าเราปฏิบัติบูชาพระพุทธเจ้า ท่านตรัสรู้มาลําบาก ท่านสอนด้วยความยากลําบาก ต้องต่อสู้อะไรมากมาย อย่างเราเคยสวดไหมบทพาหุงฯ นั่นเป็นตัวอย่างการต่อสู้ของพระพุทธเจ้า กว่าจะให้ศาสนาดํารงมั่นคงอยู่ได้ต้องผ่านศึกผ่านอะไรมามากมายเหลือเกิน เพราะฉะนั้นเป็นคุณของท่าน และยิ่งเราภาวนา เรารู้เราเข้าใจตามท่านไปเรื่อยๆ เป็นลําดับ
เราจะอัศจรรย์ในพระปัญญาตรัสรู้ของท่าน ยิ่งเราภาวนาเข้าถึงจิตถึงใจจนเราเห็นกระบวนการทำงานของจิตใจ คือปฏิจจิสมุปบาท โอ จิตมันปรุงทุกข์ขึ้นมาได้อย่างนี้ๆ ด้วยเหตุด้วยปัจจัยอย่างนี้ๆ อัศจรรย์มาก อัศจรรย์เหลือเกินพระปัญญาตรัสรู้ ยิ่งเราภาวนาเราก็ยิ่งเคารพยิ่งศรัทธาแน่นแฟ้นมากขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ
ยังเป็นปุถุชน ศรัทธาก็ยังกลับกลอกอยู่ เรียกศรัทธาที่แกว่งไปมา ถ้าเราภาวนาจนเราเป็นพระโสดาบัน เราจะมีศรัทธาที่แน่นแฟ้น เรียกอจลศรัทธา ศรัทธาที่ไม่คลอนแคลน ไม่งอนแง่น ไม่เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง เพราะอะไร เพราะเราเห็นความจริงแล้ว ว่าพระพุทธเจ้าสอนความจริง เราลงมือปฏิบัติเข้าถึงความจริงอันนั้น เราพ้นทุกข์ได้จริงๆ พระพุทธเจ้ามีจริง พระธรรมมีจริง พระสงฆ์มีจริง ศรัทธาอย่างนี้มันแน่นแฟ้น ศรัทธาของปุถุชนคลอนแคลน
กัลยาณมิตรเป็นทั้งหมดของพรหมจรรย์ อย่างพวกเราส่วนมากเราก็คงจะเป็นปุถุชน ถ้าเราเป็นปุถุชนทำอย่างไร ศรัทธาที่คลอนแคลนนี้ถึงจะเอาตัวรอดได้ ให้รู้จักคบคนที่ดีๆ คนที่มีศีลมีธรรมด้วยกัน มีเพื่อนกัลยาณมิตร ภาวนา มีเพื่อนภาวนาไปด้วยกัน บางช่วงคนนี้ท้อใจ อีกคนยังฮึกเหิมอยู่ ก็กระตุ้นเตือนกัน พากันเดินไป ประคับประคองกันเดินไป
ยิ่งถ้าเราสามารถชวนคนในบ้านเรา อย่างสามีชวนภรรยาภาวนาไปด้วยกันอะไรอย่างนี้ ภรรยาชวนสามีภาวนาไปด้วยกัน พ่อแม่ลูกภาวนาด้วยกัน มันจะกระตุ้นเตือนกัน วันนี้คนนี้ท้อแท้ อีกคนยังเข้มแข็งก็ชวนกัน แต่ถ้าเราคบคนเหลวไหล เรามีจิตใจเข้มแข็งมั่นคงต่อพระรัตนตรัย เราไปคบคนเหลวไหล มันก็ชวนเราเหลวไหล สุดท้ายเราก็กลายเป็นคนเหลวไหล เราคบคนชนิดไหนเรามีแนวโน้มที่จะกลายเป็นคนชนิดนั้น
เพราะฉะนั้นการเลือกคบคนเป็นเรื่องสำคัญที่สุดเลย ที่จะดำรงตัวเองอยู่ท่ามกลางศรัทธาที่ยังกวัดแกว่งอยู่ เพราะฉะนั้นถ้าเราไปดูมงคลสูตร สิ่งที่เป็นมงคลกับชีวิตเรา ข้อที่หนึ่งคือไม่คบคนพาล คนที่ชักนําเราไปสู่ทางผิด ข้อที่สอง ให้คบบัณฑิต คือคนที่ชักนําเราไปสู่เส้นทางที่ถูกต้อง ถ้าจุดเริ่มต้นตรงนี้ผิด ไม่ต้องมาพูดเรื่องมรรคผลนิพพานแล้ว
พระพุทธเจ้าถึงบอกกัลยาณมิตรเป็นทั้งหมดของพรหมจรรย์ ของการประพฤติปฏิบัติธรรม คู่กับอีกสิ่งหนึ่งคือโยนิโสมนสิการ ท่านพูดไว้ 2 อย่าง บางที่ท่านก็บอกว่ากัลยาณมิตรเป็นเครื่องหมายแรกของอริยมรรค ท่านเปรียบเทียบเหมือนตอนพระอาทิตย์จะขึ้น พระอาทิตย์จะขึ้นมันจะมีแสงเงินแสงทอง แสงเงินฟ้ามันจะเริ่มขาวๆ ทางตะวันออกแล้วพอพระอาทิตย์มันขึ้นมากขึ้น ท้องฟ้าที่ขาวๆ มันจะเปลี่ยนเป็นสีแดง นี้ที่เรียกแสงเงินแสงทอง แสงเงินแสงทองนั้นเป็นเครื่องหมายแรกเรียกบุพนิมิต แสงเงินแสงทองเป็นบุพนิมิต คือเป็นเครื่องหมายแรกที่บอกเราว่าพระอาทิตย์กําลังจะขึ้น กัลยาณมิตร การที่เราได้คบคนดี ชักนํากันไปในทางดีในทางที่จะเจริญในธรรม เป็นเครื่องหมายแรกที่เราจะเข้าถึงอริยมรรคอริยผลได้
อีกที่หนึ่งท่านก็สอนบอกว่าโยนิโสมนสิการเป็นเครื่องหมายแรก ท่านสอนคนละคนกัน คนละคน คนนี้ควรสอนธรรมอันนี้ สอนว่าให้มีกัลยาณมิตร ท่านก็สอนคนนี้ให้มีกัลยาณมิตร คนนี้จิตใจเขาเข้มแข็งกว่า ไม่ต้องการพึ่งใครมากมาย เขาสามารถเดินได้ด้วยความเด็ดเดี่ยว ท่านก็สอนให้มีโยนิโสมนสิการ
ความเก่งของพระพุทธเจ้าท่านรู้จักจําแนกแจกธรรมที่สมควรแก่แต่ละคน แต่ละคนเหมาะกับธรรมะแตกต่างกัน เพราะฉะนั้นเวลาท่านสอนธรรมะ บางทีสอนแตกต่างกัน ประโยคเดียวกันแต่ว่าสอนคนละคน ก็เนื้อในเปลี่ยนนิดหนึ่งอะไรอย่างนี้ เป็นคนละเรื่องไปเลย นี่เป็นความเก่งของท่าน ถ้าเราท่องตํารามาเจอใครเราก็บอก ให้มีกัลยาณมิตร ให้มีโยนิโสมนสิการ พูดไปอย่างนั้น เจอใครก็พูดเหมือนกันหมด ทั้งๆ ที่ธรรมะนั้นไม่ได้เหมาะกับคนๆ นั้น
ฉะนั้นการถ่ายทอดธรรมะไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เรื่องยากเลย ไปแนะเขาผิดบาป ไปสอนให้เขาหลงทาง ทำให้การเดินทางในสังสารวัฏของเขายืดยาวออกไปอันตรายกับตัวเองด้วย อันตรายกับของคนอื่นเขาด้วย ทุกวันนี้เห็นไหม พวกเดียรถีย์ พวกอลัชชีออกมาสอนอะไรต่ออะไรกันเยอะแยะไปหมด แปลกๆ นอกพระไตรปิฎก พวกนี้เราอย่าไปเข้าใกล้ เข้าใกล้ไปคบคนพวกนี้ เราจะเสื่อม ดูคำสอน ศึกษาปริยัติไว้บ้างก็ดี เราจะได้รู้ว่าอันไหนถูกอันไหนผิด
หลวงพ่อก่อนที่จะภาวนา หลวงพ่ออ่านพระไตรปิฎกก่อน ที่อ่านพระไตรปิฎกเพราะว่าไม่รู้จะภาวนาอย่างไร ทำได้แต่สมถะ แล้วก็รู้ว่ากิเลสมันก็เหมือนเดิม ไม่เห็นมันจะลดลงตรงไหนเลย ความทุกข์มันก็เหมือนเดิม ไม่เห็นมันจะลดลงตรงไหนเลย ก็พยายามค้นคว้าในพระไตรปิฎก อ่านแล้วอ่านอีก อ่านหลายรอบ บางทีไม่ได้เรียนบาลีแต่ก็อุตส่าห์เอาพระไตรปิฎกบาลีมาวางทาบกับพระไตรปิฎกภาษาไทย ก็ดูคําแปลของเขาไปเรื่อยๆ พยายามค้นหาวิธีปฏิบัติ หาไม่เจอ
จนมาได้กัลยาณมิตรคือหลวงปู่ดูลย์เป็นกัลยาณมิตร ไม่ใช่เป็นเพื่อน กัลยาณมิตรไม่ได้แปลว่าเพื่อน อย่างครูบาอาจารย์เป็นกัลยาณมิตร พระพุทธเจ้าเป็นยอดของกัลยาณมิตร เจอหลวงพ่อดูลย์ก็จับหลักได้ว่าต้องรู้เท่าทันจิตตนเองก่อน ให้จิตมันตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมา เอาจิตที่ตั้งมั่นไปเรียนรู้ความจริงของรูปนามกายใจ จับหลักตัวนี้ได้เลยภาวนาได้ มีกัลยาณมิตร
โยนิโสมนสิการ เวลาภาวนาไปบางครั้งเกิดติดขัดขึ้นมา มีโยนิโสมนสิการ สังเกตตัวเอง อย่างภาวนาแล้วจิตมันว่างสว่างอยู่เป็นเดือนอยู่เป็นปี มีโยนิโสมนสิการ สังเกตตัวเองว่ามันต้องมีอะไรผิดแล้วล่ะ พระพุทธเจ้าบอกว่าจิตไม่เที่ยง ทำไมจิตเราเที่ยง ท่านบอกจิตเป็นทุกข์ ทำไมจิตเราเป็นสุข ท่านบอกจิตเป็นอนัตตา บังคับไม่ได้ ทำไมเราบังคับได้ มันผิดตรงไหน อย่างนี้เรียกว่าโยนิโสมนสิการ เรากําลังภาวนาไป เราพบสภาวะอย่างนี้ๆ เราพิจารณาด้วยคําสอนของพระพุทธเจ้า คําสอนของพระอรหันต์สาวกในพระไตรปิฎกอะไรอย่างนี้ มี
หรือคําสอนของครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์สอน หลวงพ่อยังไม่เชื่อเลย เคารพมากศรัทธามาก แต่เวลาครูบาอาจารย์สอน หลวงพ่อฟัง หลวงปู่ลย์เคยถามหลวงพ่อเลย วันหนึ่งท่านสอนบอก พบผู้รู้ให้ทำลายผู้รู้ พบจิตให้ทำลายจิต จึงจะถึงความบริสุทธิ์อย่างแท้จริง เชื่อไหม เราก็อึกอัก แล้วบอก ผมยังไม่เห็นๆ แต่ผมจะจําไว้ บอกท่านอย่างนี้ ท่านยิ้มเลย ท่านบอกมันต้องอย่างนี้ ไม่ใช่เอะอะก็เชื่อเลย อันนั้นโง่
อย่างหลวงปู่ดูลย์ท่านบอกว่าให้ดูจิต “จิตที่ส่งออกนอกเป็นสมุทัย ผลที่จิตส่งออกนอกเป็นทุกข์ จิตเห็นอย่างแจ่มแจ้งเป็นมรรค ผลที่จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งเป็นนิโรธ” ท่านสอนว่าให้รู้ทันจิตตัวเองนี่เป็นการเจริญมรรค หลวงพ่อก็งงแต่ว่าจําที่ท่านบอกไว้แล้วเอาไปลองทำดู ที่งงเพราะว่าพระพุทธเจ้าสอนว่าให้รู้ทุกข์ ทำไมหลวงปู่ดูลย์บอกให้รู้จิต เอ๊ะ ทำไมหลวงปู่สอนไม่เหมือนพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่ผิดแน่นอน หลวงปู่ก็ไม่น่าจะผิด
เราเองมีความเข้าใจอะไรที่ยังไม่เข้าถึงแก่นหรือเปล่า ไม่ได้คิดว่าพระไตรปิฎกผิด งมงายเชื่อแต่อาจารย์บอกพระไตรปิฎกผิด หรือเห็นว่าครูบาอาจารย์สอนอะไร ภาษาไม่เหมือนพระไตรปิฎก บอกครูบาอาจารย์ผิด นี่หยาบไป ไม่มีสติมีปัญญาพอ หลวงพ่อไม่คิดอย่างนั้น หลวงปู่ดูลย์บอกให้ดูจิต พระพุทธเจ้าบอกให้รู้ทุกข์ หลวงปู่ดูลย์ให้รู้จิต ทำไมไม่เหมือนกัน เราไม่เข้าใจตรงไหน ไม่เข้าใจทำอย่างไร แขวนไว้ก่อน ไม่คิดมาก คิดมากยากนาน
เราก็หัดดูจิตดูใจของตัวเองทำงานไป ก็รู้ว่านี่มันอยู่ในเรื่องของสติปัฏฐาน ที่หลวงปู่ดูลย์บอกให้อ่านจิตใจตนเองก็อยู่ในสติปัฏฐาน 4 นั่นล่ะ อย่างใจเรามีความสุขความทุกข์ขึ้นมามันอยู่ในเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ใจเราเกิดกุศลอกุศลขึ้นมามันอยู่ในจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน เราเห็นเวทนามันจะเกิดได้ อาศัยตา หู จมูก ลิ้น กายกระทบอารมณ์ภายนอก หรือใจกระทบความคิดนึก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันก็รูป
เราก็จะเห็นการทำงานระหว่างกายกับใจมันก็เนื่องด้วยกัน เนื่องถึงกัน ตาเห็นรูป เกิดความสุขความทุกข์ขึ้นที่ใจ หูได้ยินเสียงเกิดสุขทุกข์ที่ใจ ฉะนั้นเวลาภาวนาไม่ใช่รู้แต่จิต มันก็พลอยรู้รูปไปด้วย เพราะมันเป็นจุดตั้งต้นให้เกิดนามธรรมที่เราจะดูจิตใจตัวเอง เฝ้ารู้เฝ้าดูเรื่อยๆ แล้วก็เห็นจิตมันพอละเอียดขึ้น ก็เห็นจิตมันทำงานทางอายตนะ ตรงที่เห็นจิตมันทำงานทางอายตนะมันขึ้นไปสู่ธัมมานุปัสสนาแล้ว
ค่อยดูไปเรื่อยๆ ก็เห็นกระบวนการทำงานที่จิตสร้างความทุกข์ขึ้นมา นั่นคือปฏิจจสมุปบาท อยู่ในธัมมานุปัสสนา ภาวนา อาศัยจุดเริ่มต้นจากการอ่านจิตตนเอง สุดท้ายมันก็รู้กาย รู้เวทนา รู้จิต รู้ธรรม มันเนื่องกันไปหมด กาย เวทนา จิต ธรรมมันเหมือนโต๊ะสี่เหลี่ยมข้างหน้าหลวงพ่อนี้ล่ะ เราจับเข้ามุมหนึ่ง ที่เหลือมันก็เคลื่อนตามมา
ฉะนั้นถ้าสติปัฏฐาน 4 เราทำได้สักอย่างหนึ่ง ที่เหลือมันก็ตามมาเองล่ะ ไม่ยากแล้ว ภาวนามาเรื่อยๆ ก็เห็น ทำอย่างไรหนอ มันจะรู้จิตรู้ใจแล้วคือการรู้ทุกข์ ไม่เห็นว่าจิตมันเป็นทุกข์เลย เห็นจิตนี้เป็นตัวบรมสุข จิตผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มีแต่ความสุข ดูอย่างไรก็ไม่เห็นจะทุกข์เลย การดูจิตนี่มันผิดหรือเปล่า มันไม่เห็นทุกข์ แต่ว่าทนดูไปเรื่อย แล้วก็เห็นความทุกข์ของกาย ของเวทนา ของสังขารทั้งหลาย ดูมันไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ แล้วจิตมันค่อยฉลาดขึ้น ค่อยรวมเข้ามา วางเป็นลําดับๆ ของภายนอก ของหยาบๆ ความปรุงแต่งหยาบๆ รวมเข้ามาที่จิต
จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นมรรค ก็คือการเห็นทุกข์ ค่อยภาวนาเรื่อยๆ วันหนึ่งเห็น จิตมันก็คือตัวทุกข์เหมือนกัน เพราะฉะนั้นที่หลวงปู่ดูลย์บอกว่าจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นมรรค ก็ใช่ ก็คือการเห็นทุกข์เหมือนกัน จิตเห็นจิต แต่ว่าตัวจิตผู้รู้มันเป็นตัวทุกข์ตัวสุดท้ายเลย ตัวสุดท้ายที่เราจะเห็น อย่างเราเห็นร่างกายเป็นทุกข์ เห็นง่าย เห็นเวทนาเป็นทุกข์ ชักจะยากนิดหน่อย อย่างเวทนาคือความรู้สึกสุขทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ ถ้าเป็นความรู้สึกทุกข์ เราเห็นว่าทุกข์ง่าย แต่ความรู้สึกสุขเราเห็นว่าเป็นทุกข์ไม่ใช่ง่ายเหมือนกัน
ถ้าเราดูความสุขเกิดขึ้น เราจะเห็นความสุขก็เป็นเครื่องเสียดแทงใจ พอรู้ว่าความสุขมันเสียดแทงจิตใจ ทำให้จิตใจหวั่นไหว โอ้ ความสุขมันก็เป็นตัวทุกข์เหมือนกัน ไม่ใช่ตัวดีตัววิเศษหรอก ตัวเฉยๆ เราไปแต่งจิตให้เฉยๆ อยู่เรานึกว่าดี ดูไปๆ มันก็ของไม่มีสาระอะไร มันว่างได้ มันนิ่งได้ มันเฉยๆ ได้ เป็นอุเบกขาได้ มันก็แปรปรวนได้อีก มีแต่ความไม่เที่ยง มีแต่การบังคับไม่ได้
ค่อยเรียนไป ก็จะเห็นตัวเวทนาก็เป็นทุกข์ ตัวสังขาร เห็นสังขารคือความปรุงดีปรุงชั่วเป็นทุกข์ เวลาเราปรุงชั่ว สังเกตไหมจิตใจเราไม่มีความสุข พอมันปรุงดี แหม มันอิ่มเอิบ เกิดปีติเกิดความสุขอย่างเราปรุงดี เช่น เราได้ตั้งใจฟังธรรม ตั้งใจปฏิบัติธรรม จิตใจเราดีงามมากเลย มีความสุขมาก จะดูให้เห็นว่ามันเป็นทุกข์ ความดีเป็นทุกข์มันก็ดูยาก เราค่อยๆ ดูไป
ความชั่วสำหรับนักปฏิบัติ ความชั่วเราเห็นเป็นทุกข์ง่าย เพราะฉะนั้นเวลาอย่างจิตเราเกิดราคะขึ้นมาอย่างนี้ จิตใจเราระส่ำระส่าย จิตใจเราเกิดโทสะ จิตใจระส่ำระส่าย ไม่มีความสุข จิตใจเราหลง เหมือนหมาเหมือนแมวหลงๆ ไป ดูแล้วไม่เห็นจะมีความสุขตรงไหนเลย มันเหมือนคนขาดสติเหมือนคนติดยาเสพติด ไม่รู้เรื่องอะไร มันดูแล้ว เอ๊ะ อกุศลทั้งหลายไม่เห็นมันจะสุขตรงไหน ดูง่าย แต่ตรงกุศลดูให้เห็นว่ามันเป็นทุกข์ไม่ใช่ง่าย
ถ้ากุศลหยาบๆ อย่างที่พวกเราทำกันเป็นกุศลอย่างหยาบๆ ยังดูง่าย อย่างเวลาเราไปทำบุญ จิตใจเราเบิกบานขึ้นมา ถ้าเรามีสติรู้เราจะเห็นเลยความเบิกบานที่เกิดขึ้นมันทำให้จิตเสียสมดุล จิต แหม มันพองมันฟู มันดีอกดีใจอะไรอย่างนี้ มันปลื้ม สิ่งเหล่านี้ดีๆ ทั้งนั้นเลย ปลาบปลื้มที่ได้ทำบุญแต่พอเราภาวนาละเอียดเข้า โหย จิตเราเสียความสมดุลไปแล้ว กวัดแกว่งกระเพื่อมไปด้วยแรงของความดี ปรุงดีก็กระเพื่อม ปรุงชั่วไม่ต้องพูดถึงเลย ย่ำแย่ใหญ่
ทีนี้ความปรุงดีขั้นละเอียดดูยากมากเลยว่ามันเป็นตัวทุกข์ ความปรุงดีขั้นละเอียดก็คือพวกฌานสมาบัติ อย่างพวกพระอนาคามี ละกามราคะได้แล้ว ความสุขอย่างโลกๆ ที่พวกเรามี เรียกว่ากามราคะ ความสุขจากการได้เห็น ได้ยิน ได้ฟัง ได้ลิ้มรส ได้สัมผัสอะไรอันนี้เป็นกามราคะ พระอนาคามีเห็นกามราคะมันทุกข์ แต่ท่านก็ไปยินดีพอใจในฌานสมาบัติ ในรูปฌานในอรูปฌาน มองไม่เห็นว่าเวลาจิตเข้ารูปฌานก็ไม่เห็นว่ามันจะทุกข์ มีแต่ความสุข จิตมันเป็นอุเบกขาทรงอยู่มีความสุข หรือมีปีตีมีความสุข
ถ้าสูงขึ้นไปก็เป็นอุเบกขาหรือจิตเข้าอรูปฌาน จิตเป็นอุเบกขา มันสุขอย่างไร มันสุขเพราะว่ามีความเสียดแทงน้อย มันสุขเพราะว่าจิตในฌานมันถูกความเสียดแทงน้อย อะไรเป็นเครื่องเสียดแทง รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะทั้งหลายเป็นกามคุณอารมณ์ ทั้งหลายเป็นเครื่องเสียดแทงจิต ถ้าเราเข้าสมาธิเข้ารูปฌาน จิตก็พ้นจากการเสียดแทงทางตา หู จมูก ลิ้น กายอะไรพวกนี้ เหลือแต่ความเสียดแทงทางใจซึ่งยังมองไม่เห็น รู้สึกว่ามีความสุข หรือเข้าอรูปฌานไป หนีสิ่งที่กระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กายอย่างเด็ดขาด เพราะตา หู จมูก ลิ้น กายหายไปหมดเลย ร่างกายก็หาย โลกนี้ก็หายไป เหลือแต่ใจดวงเดียว
จะให้เห็นว่ามันเป็นทุกข์มันยาก เพราะมันไม่มีเครื่องเสียดแทง ต้องสติปัญญาแก่รอบจริงๆ เห็นว่าสิ่งนี้ก็ยังตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ จิตในรูปฌาน ยังดูง่ายว่าตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ จิตในอรูปฌานดูยากหนักเข้าไปอีก ค่อยภาวนาจนกระทั่งเห็นว่า จิตไม่ว่ามันจะอยู่ในภูมิใด อยู่ในกามาวจรภูมิ รูปาวจรภูมิ อรูปาวจรภูมิ อรูปาวจรภูมิก็อยู่ในอรูปฌาน มันก็ยังไม่มั่นคง ไม่เที่ยง มันไม่เที่ยง มันบังคับไม่ได้ มันยังถูกเสียดแทงอยู่
ถ้ามันไม่ถูกเสียดแทง มันคงไม่ดับหรอก จิตในฌานสมาบัติเกิดแล้วก็ดับ เช่นเดียวกับจิตที่พวกเรามีนี่ล่ะ สติปัญญามันแก่รอบเพราะยังเห็นตรงนี้ก็ไม่มีแก่นสารสาระ เป็นราคะที่ละเอียดขึ้นไป ทำบุญทำกุศลมหาศาล กว่าจะขึ้นมาตรงนี้ได้ แต่พอขึ้นมาสู่ความดีอย่างสูงนี้ได้ อ้าว ลึกๆ ลงไปยังชอบมันอีก มีราคะอีก ฉะนั้นกิเลส กิเลสหยาบๆ ก็ดูง่าย กิเลสละเอียดหน้าตามันเป็นกุศลดูยาก แต่ก็ไม่พ้นสติพ้นปัญญา
ค่อยๆ สังเกตไปเรื่อยๆ อย่าไปนิ่งนอนใจ คิดว่าจบแล้วพอแล้ว หลายคนภาวนาชอบคิด จบแล้ว ไม่จบเลย อันนั้นไม่ใช่จบแล้ว จบเสียแล้วไปไม่รอดแล้ว เคยมีพระมาบอกจบแล้ว มาบอกหลวงพ่อ หลวงพ่อบอกไม่ใช่หรอก ใจท่านหล่นวูบเลย หลวงพ่อบอกเห็นไหมจิตยังมีความยินดียินร้ายอยู่เลย เห็นไหม ท่านบอกเห็นแล้ว บอก เออ ยังยินดียินร้ายระดับนี้ เสียอกเสียใจ นี่โทสะ อนาคามีก็ยังไม่ได้ จากพระอรหันต์ร่วงๆๆ ลงมาเรื่อยๆ โดนกิเลสหลอก
ภาวนาไปแล้วอยากเป็นโน่นเป็นนี่ ก็มโนเอาเป็นโน่นเป็นนี่ หรือบางที่เขาก็ชอบตั้ง ภาวนาตามหลักสูตรครบหลักสูตรเท่านี้ ภาวนาเท่านี้ครั้งได้โสดาบันได้อะไร Non-sense เราวัดความก้าวหน้านี้ วัดด้วยกิเลส วัดที่กิเลสว่าเราละกิเลสตัวไหนแล้ว ยังไม่ได้ละตัวไหน กิเลสที่เราละ ตัวไหนละถาวร ตัวไหนละชั่วคราว ต้องค่อยๆ สังเกตตัวเองไป
กัลยาณมิตรที่สําคัญคือพระไตรปิฎก โยนิโสมนสิการ สังเกตสิ่งที่เรามีสิ่งที่เราเป็น ฉะนั้นการภาวนาที่สําคัญเลยก็คือ อย่างเราต้องมีกัลยาณมิตร ต้องมี กัลยาณมิตรของเราก็คือสุดยอดเลยคือพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่อยู่แล้ว เอาอะไรเป็นกัลยาณมิตร ธรรมวินัย ธรรมวินัยของท่านประมวลอยู่ในพระไตรปิฎก ฉะนั้นพระไตรปิฎกให้เราศึกษาได้ ศึกษาแล้วสังเกต เอามาปฏิบัติให้ได้ นี่ล่ะเป็นยอดของกัลยาณมิตร
แล้วก็มีโยนิโสมนสิการ สังเกตสิ่งที่เราปฏิบัตินี้มันสอดคล้องกับคําสอนในพระไตรปิฎกหรือเปล่า อย่างถ้าบอกว่าไม่ต้องทำอะไรหรอก นั่งแล้วก็พยายามกลั้นลมหายใจให้นานที่สุดเดี๋ยวก็บรรลุ อันนี้ไม่สอดคล้อง เราก็ไม่เอาอย่างนี้ เราตัดทิ้งไปเลยคําสอนชนิดนี้ หรือไปให้เซียนผู้วิเศษเชื่อมจิตเข้ากับพระพุทธเจ้าให้ อันนี้ไม่สอดคล้องกับพระไตรปิฎก เราก็ไม่เอา ปัดทิ้งไป เราก็ใช้วิธีนี้
อาศัยกัลยาณมิตรที่สําคัญคือพระไตรปิฎกแล้วอาศัยโยนิโสมนสิการ สังเกตสิ่งที่เรามีสิ่งที่เราเป็น สิ่งที่เราลงมือปฏิบัติอยู่ วิธีปฏิบัติที่เราทำอยู่สอดคล้องกับพระไตรปิฎกไหม อย่างถ้าเราจะทำวิปัสสนา เราได้เจริญสติปัฏฐานจริงไหม สติปัฏฐาน เบื้องต้นได้สติ เบื้องปลายจะได้ปัญญา โดยเฉพาะได้วิปัสสนาปัญญา ฉะนั้นถ้าเราหลุดออกจากเส้นทางของสติปัฏฐาน ไม่ใช่แน่นอน ไปไหว้เจ้าแล้วก็ขอให้บรรลุมรรคผลอะไรอย่างนี้ ไม่ใช่เส้นทางแน่นอน ถ้าทิ้งการเจริญสติเมื่อไรล่ะก็เราหลุดออกจากเส้นทางของมรรคผลแล้ว เรารู้อย่างนี้ รู้
ต้องการปฏิบัติ ต้องอย่างนี้ ต้องอยู่ในหลักของการเจริญสติ ของการทำสมถกรรมฐาน ของวิปัสสนากรรมฐาน ต้องอยู่ในหลักที่ถูกต้อง แล้วการที่เราภาวนาไปแล้วมีผลอะไรเกิดขึ้น ถ้ามีครูบาอาจารย์ พูดยาก เรารู้ได้อย่างไรว่าองค์นี้ดีไม่ดี ต้องสังเกตเอา ถ้าเรามีครูบาอาจารย์ที่ดี เราทำผิดปุ๊บ ท่านก็บอกเลยทำผิดแล้ว ถ้าทำถูกแล้วท่านจะบอกให้ทำไปอีกๆ ทำต่อไป ยังไม่พอ แต่ถ้าเราไม่มี เราก็ต้องอาศัยพระไตรปิฎก อาศัยคําสอนของพระพุทธเจ้าอย่างที่หลวงพ่อใช้ วัดตัวเอง สิ่งที่เราปฏิบัติมีผลอย่างนี้ๆ มันสอดคล้องกับคําสอนในพระไตรปิฎกไหม อันนี้คือตัวโยนิโสมนสิการ
ฉะนั้นเวลาเราภาวนา เราก็ดูสิ่งที่เรากําลังทำอยู่ปฏิบัติอยู่ สอดคล้องกับหลักธรรมในพระไตรปิฎกไหม ผลที่เกิดจากการปฏิบัติสอดคล้องกับคําสอนของท่านหรือเปล่า วัดกันตรงนี้ วัดด้วยใจของตัวเองที่ซื่อตรงจริงๆ มีโยนิโสมนสิการ ไม่ใช่มีแต่โลภะ ก็เข้าข้างตัวเองเรื่อยๆ ค่อยๆ สังเกตเอา วันนี้เทศน์อะไรหว่า แปลกๆ ไปทำเอาๆ ไม่มีใครช่วยใครได้ ครูบาอาจารย์ที่หลวงพ่อไปเรียนด้วยท่านก็ไม่มาบรรลุมรรคผลอะไรให้หลวงพ่อหรอก หลวงพ่อก็ต้องทำเอาเองทั้งนั้นล่ะ
ทำแล้วถูกตลอดไหม ไม่ ทำแล้วก็ล้มลุกคลุกคลานเหมือนที่พวกเราเป็นนั่นล่ะ แล้วถ้าจะว่าไปหลวงพ่อล้มลุกคลุกคลานมากกว่าพวกเรา ที่พวกเรามาส่งการบ้านทำผิดตรงโน้นผิดตรงนี้ ไม่ใช่เรื่องแปลกสําหรับหลวงพ่อ เพราะหลวงพ่อผิดมาก่อนแล้ว ทำผิดมามากมายแต่ไม่ท้อถอย ค่อยสังเกตตัวเองมาเป็นลําดับๆ มีโอกาสเจอครูบาอาจารย์ บางทีต้องอาศัยท่านแก้ให้ หลวงพ่อเคยอาศัยครูบาอาจารย์ทั้งหมด 7 ครั้งเองในการภาวนา 7 ครั้งเอง เราทำแล้วเราจนปัญญาไม่รู้จะไปอย่างไรต่อ ท่านสะกิดให้นิดเดียวเราก็เข้าใจแล้ว
ส่วนใหญ่ก็จะอาศัยการสังเกตเอา เวลาได้ยินได้ฟังคําสอนต่างๆ ถ้ามันขัดพระไตรปิฎก หลวงพ่อไม่เอาเลย อย่างบอกพระอนาคามีมาเกิดได้อีกอะไรอย่างนี้ บรรลุพระอรหันต์แล้วก็ยังมาเกิดได้อีกอะไรอย่างนี้ มันอรหันต์เทียมแล้วไม่ใช่อรหันต์จริงแล้ว พวกนี้ไม่รู้จัก ไม่รู้ทั้งปริยัติ ไม่รู้ทั้งปฏิบัติ มีแต่ความฟุ้งซ่าน เป็นพวกวิปัสสนูปกิเลส มันจะฟุ้งแบบนี้ ก็เลยคิดว่าตัวเองรู้ มองกิเลสไม่ออก ฉะนั้นทุกวันนี้เวลาฟังธรรมะไม่ว่าใครจะเทศน์ก็ตาม อย่าทิ้งหลักกาลามสูตร อย่าเชื่อง่าย ขนาดหลวงพ่อฟังหลวงปู่ดูลย์สอน หลวงพ่อไม่เข้าใจ หลวงพ่อแขวนไว้ หลวงพ่อไม่เชื่อแต่ว่าไม่ลบหลู่เพราะเราคิดว่าเรายังโง่ เรายังเข้าไม่ถึง แต่เราจะต้องปฏิบัติ และการปฏิบัตินั้นต้องไม่ขัดแย้งกับคําสอนของพระพุทธเจ้า
สุดท้ายถึงเข้าใจ โอ๊ย ที่ท่านบอกว่าจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งเป็นมรรค ท่านพูดแบบออมๆ ไว้ ไม่กล้าพูดตรงๆ เดี๋ยวมีเรื่อง ที่จริงก็คือจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งเป็นอรหัตตมรรค เพราะว่าก่อนหน้านั้น ท่านเดินปัญญากัน ไล่ลงมาจากกาย เวทนา เข้ามาไล่ๆ ไล่ๆ เข้ามา รู้แล้ววางมาเป็นลําดับๆ การปฏิบัติในขั้นสุดท้ายมันมาแตกหักกันลงที่จิตนั่นล่ะ ฉะนั้นที่ท่านบอกจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง อันนั้นถูกเลย แจ่มแจ้งว่าอะไร แจ่มแจ้งว่าเป็นไตรลักษณ์ แล้วเราก็ปล่อยวางจิตได้ ปล่อยวางจิตได้ ก็ปล่อยวางขันธ์ได้ ปล่อยวางขันธ์ได้ ก็ปล่อยโลกทั้งโลกได้ หัวใจสําคัญอยู่ที่จิตของเรานี่เอง ยึดจิตตัวเดียวก็ยึดขันธ์ทั้งหมด มีจิตดวงเดียวก็สร้างขันธ์ 5 ขึ้นมาได้ทั้งหมด วางจิตได้ก็วางขันธ์ 5 ได้ ลงสุดท้ายมันแตกหักลงที่จิต
ฉะนั้นที่ครูอาจารย์ท่านสอนก็ไม่ผิด ตรงกับพระพุทธเจ้า แต่ท่านเพียงแต่ไม่กล้าพูดตรงๆ เดี๋ยวคนหาเรื่องท่าน พวกฟังไม่รู้เรื่องแล้วก็จะพาลพาโลว่าท่านอวดอุตริ หลวงปู่ดูลย์เคยเกือบโดนเรื่องอวดอุตริ เพราะท่านสอนเรื่องจิตนี่ะล่ะ ก็มีพวกพระกรรมฐานพวกหนึ่งไปชุมนุมกันรวมกันมา จะมาโจทอาบัติว่าท่านปาราชิกอวดอุตริ พูดอะไรแต่เรื่องจิตแปลกๆ ทำไมไม่พุทโธพิจารณากาย ไปชวนหลวงตามหาบัว หลวงตาบอกพระองค์นี้เราไม่เล่นด้วย พวกนั้นฟังแล้วเข้าใจ ก็เลยหยุด ไม่กล้าแล้ว ไม่กล้าหือกับหลวงปู่ดูลย์อีก
เพราะฉะนั้นท่านเองเวลาพูดท่านก็ระวังเหมือนกัน ต้องออมๆ พวกมิจฉาทิฏฐิ พวกเซลฟ์จัดมันเยอะ แต่สิ่งที่ท่านสอนมันไม่ได้ขัดกับพระไตรปิฎก ตรงกันเป๊ะเลย ฉะนั้นเวลาพวกเราฟังใครเขาพูด เขาพูดธรรมะฉอดๆ ฉอดๆ ฟังไว้ก่อน ถ้าเขาพูดแล้วถูกหลัก เออ ก็ใช้ได้ แล้วดูผลอีก เขาพูดได้อย่างเดียวหรือเขาทำได้ด้วย ต้องแยก พูดได้กับทำได้ไม่เหมือนกัน พูดง่ายทำมันยาก
ฉะนั้นเรื่องมงคลตื่นข่าวเลิกเสียทีเถอะ มี 10 หลักของกาลามสูตร อย่าลืมอันนี้ ทิ้งกาลามสูตรเมื่อไรก็โง่งมงายเมื่อนั้นล่ะ ไปอ่านเอาเองกาลามสูตร วันนี้เทศน์ให้ฟังเท่านี้ ไปทำเอา ไม่ต้องเชื่อ ถ้าเชื่อก็โง่ ถ้าไม่เชื่อแล้วไม่ทำยิ่งโง่หนักเข้าไปอีก ไปพิสูจน์ด้วยตัวเอง ธรรมะของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ธรรมะที่ชวนให้เชื่อ แต่เป็นธรรมะที่ท้าให้พิสูจน์ เอหิปัสสิโก พึงกล่าวกับผู้อื่นว่ามาลองดูเถิด พระพุทธเจ้ายังบอกไม่ต้องเชื่อท่าน แต่มาลองดูว่าที่ท่านบอกนี้ ทำแล้วพ้นทุกข์ได้จริงไหม
อย่างพวกเราภาวนาอย่างที่หลวงพ่อบอก ทุกข์เราสั้นลงไหม ทุกข์เราน้อยลงไหมเบาลงไหม เราวัดด้วยตัวเองได้ ไม่ต้องมาเชื่อหลวงพ่อโง่งมงายไป วัดด้วยตัวเองล่ะ ผลที่เกิดขึ้นกับชีวิตจิตใจเราเปลี่ยนแปลงไหม วัดเอา


สังเกตอีกอย่างหลวงพ่อไม่เคยขอเงิน ถ้าเจอเทศน์ไพเราะเพราะพริ้งลงท้ายขอเงิน ไม่ใช่ ถอยไว้เลย เออ บอกนิดหนึ่งยุคนี้เอไอมันเก่ง ถ้าวันหนึ่งมีโทรศัพท์เข้าไป มีเสียงหลวงพ่อมีหน้าหลวงพ่อพูด แล้วขอเงิน ด่ามันไปเลย หรือบอกพระวัดนี้ไปขอเงิน โกหกๆ ทั้งนั้นล่ะ พระที่นี่หลวงพ่อไม่ปล่อยให้ไปพูดขอใคร เคยมีหลงๆ ขอโน่นขอนี่ สุดท้ายให้ออกไป อยู่ไม่ได้ ที่นี่ลูกศิษย์พระพุทธเจ้า ไม่ใช่ลูกศิษย์ชูชก ต้องฉลาด




หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 7 กรกฎาคม 2567


本篇文字整理:当下就启程吧
本篇文字整理:当下就启程吧

2024年9月19日 (四) 13:50的最新版本

Luangpor Pramote Pamojjo


聞 · 法


泰文原文


修行啊,别心急。有人不停地来跟隆波请教,为什么没有进步呢?你想进步到哪里?不需要进步到哪里,就活在当下。不要只是想着去哪里,要能够活在当下,这样就没有所谓的太快或者是太慢了。太慢是因为没有像我们想的那个样子,太快也是一样的。

有的人修行,想得很多,害怕很快就证悟道果了,这样奇奇怪怪的也有。有的人害怕万一修行了之后,证悟到三果阿那含,就无法品尝五欲了。哎呀,你别害怕,那些用心修行的人都还抵达不了,你害怕什么?又去不了!

有一种人又太想要了,想快一点见法,想涅槃。涅槃并没有因为想要而获得,得到是因为想要止息了。想要止息了,是因为有智慧,全都是有因有果的。如果我们有智慧,看到名色、身心的实相,欲望才能够止息。别的智慧是依然无法止息欲望的。

因此,我们的主要工作是来学习、了解自己的身心,这是佛教徒的职责。佛教徒是学生,学生学习什么?学习我们自己,认识、了解自己的身心。一旦彻底地了解了这个身、这颗心是无常、苦、无我的,根本没有什么,根本没有一个实体,不是人、不是我、不是众生、不是他,这个称之为心已经契入法流了。心契入法流,就会是“恒常”的了,就一定会离苦了,有一天必然证悟阿罗汉。

因此,我们要先了解:心要想能够契入法流,初果圣者非常重要的一个特质是必须要学!自己找资料去读吧。现在,网络上有很多经典,以前不太有,想学什么东西,想了解什么东西,要翻书翻到死,现在容易了。

如果我们想快一点证悟初果,就别去想要,而是去执行自己的职责:自行学习,彻底地认识、了解自己。去观察自己的心,自己的心对于三宝的信仰是否很坚定、很稳固呢?我们的心有很漂亮的戒吗?如果还不够漂亮,那就努力地去好好地持戒。

初果圣者的一个特质就是很稳固地信奉三宝。我们依然还有起伏吗?真正信仰三宝的人并不多,大部分人信奉的都是利益。比如,去礼佛是希望自己发财、幸运吉祥,那个并没有在供奉三宝,即便是礼佛也并不是在供奉三宝、礼敬三宝。去亲近、顶礼高僧大德,让他去浇甘露水求幸运吉祥,那并不能够称之为信奉三宝。信奉三宝作为自己的靠山,是为了自己真的可以离苦。

我们要看,佛陀已经不在了,他的化身就是戒与法,我们真的尊重、恭敬戒与法吗?比如,法让我们别去干坏事,我们依然还在做吗?如果我们依然还在面无惭色地干坏事,说明我们不恭敬戒与法,那个称之为我们不恭敬三宝。

找出家人就只是去供奉那些很有名的开光大师,不停地结缘佛牌。开光的圣物,是为了接引那些根器很钝的人。但如果根器很利的人,他也会教法,包括森林派的阿姜曼尊者,他也有做一些,但是他的主要的工作还是弘法,只是偶尔做一做而已。

因此,我们要观察我们自己对于三宝的信仰稳固到什么程度,还是认为三宝是我们的摇钱树,可以给我们带来利益。非常多的人利用佛教来赚钱。如果是在隆波寺庙的附近,隆波就把他赶走,因为佛陀的法是非常高尚的,不是用来赚钱的。因此,我们自己是真的恭敬三宝吗?恭敬三宝必须要学法,必须要学习,法与戒是佛陀的化身、代表。

还有另外一条,就是我们的戒很好吗?要去观察自己,如果戒依然还有缺失,我们就还不是好的佛教徒,还不是佛陀的好孩子。我们不尊重佛陀,他教我们持戒,我们不持守,这样并不是真正的佛教徒。如果我们破戒的时候依然面无惭色,就别抱怨自己的修行没有进步。怎么可能进步呢?没有下到地狱就已经很好了。

还有另外一条,就是我们相信业果法则吗?还是有时候相信,有时候不相信呢?或者有些天根本不相信?要去观察自己。比如,相信业果法则的人就会相信:我们必须要透过自己的精进而离苦,我们做合适的业,就会获得合适的果。

如果我们正确地去布施、持戒、修行,并且累积足够,我们就会获得道果。因此,一切取决于我们的所作所为。比如,如果我们干坏事,我们去求赐福,求所有的出家师父、佛、菩萨、天神来帮忙,没有谁可以帮得了我们。因此,真正好的佛教徒,比如初果的圣者就不会相信谣传,就不会听说这个好、那个好,就很兴奋、很高兴。

隆波以前也经常看到,有些事情,根本不是,但却炒得很热,很流行。比如,有些出家人,信仰、信奉的人很多,只是听说这位出家人很好、信仰的人很多,就认为他肯定很好。在出家人安排活动托钵的时候,有成千上万的人去给他供钵,很多人会相信这种谣传。或者是以前,相信印度有隐士、有神通,这么厉害、那么厉害。或者相信在尼泊尔有佛陀重新来出生了,这些人都是相信谣传的,根本没有因,没有果。

我们骨子里面趋向这些东西的原因,是因为我们内心的脆弱,我们并没有想要靠自己。我们并没有想要靠自己去培养美德,而是想着要靠别人,靠别的事物。唉,以为这棵树很殊胜,然后去顶礼、去膜拜……各种各样的情况,各种各样的现象。在泰国充满了各种各样杜撰的故事,然后因为这个故事又会产生很多的产品,我们就不停地一代一代地去追逐。这一段时间流行这个,那一段时间流行那个,最后生命跟原先一样的苦,没有任何的起色。

因此我们不能愚昧,一定不能愚昧!愚昧并不是佛教徒的特质。初果的圣者不愚昧,比如说我们想证悟初果,那就不要愚昧、不要迷信,我们必须要相信业果法则——有业和业的果报。这些必须要慢慢地去训练自己。

还有另外一点,一旦知道我们必须要靠自己,我们就在身口意方面去正确地行持。有的人很容易因为听说这位很好、那位很好就去做功德。有钱,有时候上百万地去供养,希望自己可以获得突破。

以前也有,穿着出家人的袈裟,谁想修行很好,必须要付钱,然后把他带到山顶上去修行,他就很法喜,有机会跟有名的人在一起就觉得很好。那个并不是做功德,那并不是属于佛教里面的做功德。即便是把钱供养给出家人、供养给寺庙,他的目的是不正确的,并不是为了要护持佛教,而是为了让自己变成很亲近的弟子,那个称之为是佛教之外的功德了。

我们看到别的宗教有困难了,我们去护持、去帮助他们,比如说他们没有饭吃,我们给他们饭吃,这属于佛教里面的功德。对非佛教徒做功德,做是为了别人的利益,为了减少自己的烦恼习气。这些我们必须要去落实,必须要恭敬戒与法,要不停地去提升自己。

不着急,并不是带着想要去修行,并不是想要快一点进步。想要是生起苦的因,想要并不是离苦的因,因此,别带着欲望去修行。要有这样的观念:我们修行是作为供佛的工具,我们修行是为了供佛,并不是为了让自己得到什么。我们是来供奉、供养、感恩他的美德。他有非常多的美德,他找到法是很困难的,教法也是很困难的。

教法并不是件容易的事情。以前有一位高僧大德,他说教法啊,就像把牛推到山顶,把牛推到山上并不容易。以前的高僧大德还有一个词,说教法啊,像把大石头滚上山,那现在这个时代已经不是大石头了,现在是牛了,如果你拼命去推的话,他反而会用角来顶你了。

因此,大家先要努力地去学修行的原则,然后去动手实修,而不是为了要获得什么个人利益,也包括不是为了要获得道果涅槃,我们修行是来供佛的,他悟道成佛是很困难的,他教法也是很困难的,必须要跟很多的东西去战斗。比如说我们曾经念过早晚课吗?帕宏那一篇,就是佛陀战斗的一个例子。要想佛教能够很稳固,要经过非常多的困难。

因此,这是他的美德,尤其是我们越是修行,我们有次第地越来越了解、越来越领悟,我们就越会觉得佛陀悟道成佛的智慧太令人赞叹了!尤其当我们的修行真的抵达了心,直至我们看到心工作的流程,也就是缘起法:心能够造作苦,这么造作苦、那么造作苦,因为这样的因、这样的缘。

这个太神奇了,真的太神奇、太神奇了!佛陀悟道成佛的智慧太神奇了!我们越修行,我们就越恭敬、越供奉、越信仰。

作为凡夫的信仰,依然是颠三倒四的,称之为很脆弱的信仰。一旦我们修行直到证悟初果的须陀洹,我们的信仰就会稳固了,再也不会颠三倒四,再也不会变化了。为什么?因为我们看到事实了——佛陀教导的事实。我们修行之后抵达实相,真的可以离苦。佛陀真的存在,佛法真的存在,圣僧真的存在,这样的信仰是非常稳固的。

凡夫的信仰是颠三倒四的,像我们多数人应该都是凡夫。如果我们是凡夫,就依然还颠三倒四变化信仰怎么办呢?就一定要懂得去结交好的人,结交有戒、有法的人。这样,有善知识,有一起修行的同参道友,修行一段时间,一个人比较气馁,另外一个人依然很有信心地往前走,这样大家就会相互护持。尤其是如果我们能够邀请我们家里面的人,比如先生邀请老婆一起来修行,老婆邀请丈夫一起来修行,父母、孩子一起来修行,就会相互之间提醒,今天这个人气馁了,另外一个人依然很坚强,那就可以相互鼓励。

我们的心对三宝很稳固,但是如果我们结交那些不上进的人,结交那些不好的人,他们也会邀请我们下堕,最后我们也会变成不思上进的人。我们结交哪一类人,我们就有可能变成那样的人。因此结交人是最重要的,可以让自己在信仰还有变化的情况下,有了修行最重要的一个护持条件。

《吉祥经》里面第一条就是不能结交坏人,第二条是结交善知识,这样可以带领我们去到好的方向。如果一开始就错了,就不用提道果涅槃了,所以佛陀才开示说:善知识是修行的全部。

还有另外一个可以相提并论的就是如理作意,他说过这两种。在有些地方,他有一个比喻:善知识是圣道的第一缕朝霞。就好像太阳要升起来,日出就会有朝霞。太阳越升越高,最开始的白光就会变成红色,他称之为金色光芒。一缕金色光芒是个征兆,告诉我们太阳正在升起来了。

善知识、好的人、好的善友,他们邀请我们到好的方向,那个是让我们抵达道果的第一个象征。别的地方他也会教导:如理作意是第一个象征。

因为他教的对象不一样。这个人应该教这样的法——要有善知识,他就教导他要有善知识;另一个人的心更加坚强,不需要靠很多的人,完全可以独自上路,就教他要如理作意。这就是佛陀棒的地方,他懂得教适合每个人的法。每个人适合的法是不一样的,因此他教法呢,有时候教得有区别,甚至同一句话,教不同的人,里面的本质也会有点变化,完全是两回事了,这个就是他能力强的地方。

如果我们读三藏经典了,见到谁都说:要有善知识,要如理作意,那就只是说说而已。见到谁说的都一样,事实上法并不适合那个情况。因此,讲法并不是谁都可以做得到,那是很难的。如果教别人迷路了,导致别人在六道轮回的过程中迂回,那对于别人和自己都是很危险的。

看到了吗?现在各种各样的、乱七八糟的教法特别多,教的都是三藏之外的内容,这些人我们别去亲近他们。亲近、结交他们,我们就会退失、就会下堕、就会下降的。因此,去学一部分三藏经典也很好,这样我们才知道哪些是对的、哪些是错的。

隆波在修行之前,先读了三藏经典,读三藏经典是因为不知道该怎么修行。只是一味地修习奢摩他,烦恼习气跟原来一模一样,苦跟原来一样多,根本没有任何地减少,所以就会努力地在三藏经典里面找,读了又读、读了又读,读了好几遍。那时候没有学巴利文,但也努力地把巴利文的三藏经典跟泰文的三藏经典去对照,努力地去找修行的方法,真的找不到!直到遇到了善知识,也就是隆布敦长老,他属于善知识。善知识的意思并不是指朋友,比如高僧大德是属于善知识,佛陀是属于善知识金字塔的塔尖。

见到隆布敦长老后,抓住了修行要领——知道必须先要及时地知道自己的心,让心安住、独立凸显起来,以安住的心去认识、了解名色身心的实相。能够抓住这个诀窍,就能够修行了。所以要有善知识。

修行有时候会遇到一些障碍,如理作意观察自己。比如修行了之后心空、亮堂,这样几个月,有如理作意去观察自己,就知道必然是有哪个地方错了!佛陀说心是无常的,为什么我的心是恒常的?他说心是苦,为什么我的心是乐?他说心是无我的、控制不了,为什么我可以控制得了?错在哪里呢?这样称之为如理作意。

我们修行,遇到这样的境界、这样的状态,我们把佛陀的教导、三藏经典里面的阿罗汉弟子的教导,或者是高僧大德的教导拿来对照。高僧大德教,隆波非常尊重、非常信奉、信仰,但并没有直接相信,高僧大德教的时候隆波听。

隆布敦长老曾经问过隆波,有一天他教说:“见到知者消灭知者,见到心要消灭心,才能够抵达真正的纯净无染,相信吗?”“我还没有看到,但是我会先记住”,隆波是这么回答他的。他笑了,他说啊:“必须这样,而不是无缘无故就相信了,那个就愚蠢了。”

比如像隆布敦长老,他教导:“要观心:心往外送是苦因,心往外送的结果是苦,心清楚地照见了心是道,心清楚照见心的结果是灭。”他教及时地知道自己的心是修道,隆波就发懵了。但是会记住他的教导,然后去实修。

发懵的原因是因为佛陀教导要去知苦,为什么隆布敦长老教导要去观心,为什么长老教的跟佛陀教的不一样呢?佛陀肯定是不会错的,长老应该也不会错,那肯定是自己还没有真的明白里面的实质。并没有认为三藏经典教错了,而只是愚昧地去相信自己的老师,或者是看到高僧大德教的跟三藏经典里面教的不一样,就认为高僧大德错了。这个就太粗俗了,根本没有觉性,觉性跟智慧不够,但是隆波并没有这么想。

佛陀教导要去知苦,隆布敦长老教导要观心。诶,为什么不一样,自己哪里不明白呢?不明白,那怎么办?先放一放,不会想太多,想太多就会很难了。然后就去训练,去观自己的心工作,就知道这个是处在四念处里面,隆布敦长老教导要观自己的心,也属于在四念处里面。

比如,自己的心有苦、乐了之后,这个属于受念处;自己的心生起了善、不善了,那是处在心念处里面。我们看到,感受生起是仰赖于眼、耳、鼻、舌、身接触外在的境界,或者是心去接触念头。眼、耳、鼻、舌、身属于色法,我们就会看到身与心的工作,心与身是相互关联的:一旦眼睛看到画面,在心里面生起苦、乐;耳朵听到声音,在心里面生起苦、乐……

因此,修行呢,并不只是一味地观心,同时也会观到色法,因为它属于起步的契入点,生起名法的契入点,可以观自己心的契入点。不停地去观,越来越微细,最后就会看到心在六个根门工作。看到心在六个根门工作,就契入到法念处了。不停地去观,然后看到心创造苦的过程,那个又属于缘起法,属于法念处了。

因此,修行啊,仰赖于起步的阶段,就是去读自己的心,最后就会观身、观受、观心、观法,它们全部都是相关联的。身、受、心、法,就像隆波前面桌子的四个角,我们抓住某一个角,其它的就会跟着一起来了。因此,如果我们能够修到四念处中的一种,其它的都会紧随而至的,就不难了。

随着不停地修行就会看到,怎么做才可以观心,才是知苦。一开始并没有看到心是苦,看到心是最快乐、最快乐的。知者、觉醒者、喜悦者的心啊,有的只是快乐,怎么观都不苦啊!观心是不是错了呢?根本没有看到苦呀。忍耐着不停地观,然后就看到身体的苦、受的苦、所有行蕴的苦。不停地观、不停地观,最后心就会越来越聪明了,就会集中进来,就会有次第地放,把外面的、粗糙的先放下,最后会集中到心。不停地去修行,有一天就会看到,心同样本身就是苦。

因此,隆布敦长老说:心清楚地照见了心、心彻底地照见了心,那就是道,那就对了,其实也就是知苦。只是说知者的心,那属于一个我们最后才能够看到的苦。比如我们看到身体是苦,这个很容易看;看到感受是苦,这个稍微有一点难了。比如说感受,也就是苦、乐的感觉、不苦不乐的感觉,如果是苦的感觉,我们看到它苦很容易;但是快乐的感觉,我们看到它苦,那并不容易了。

如果我们看到快乐生起了,就会看到快乐也是在刺激心的一种对象,一旦看到感受在刺激心,导致心动荡起伏,哦,快乐本身同样也是苦,并不是什么好宝贝。

不苦不乐,我们去装修让心不苦不乐,我们以为它很好,看来看去,同样也没有任何的意义。它能够静止,它能够中舍,它同样也能够变化,有的只是无常,有的只是无法控制。就不停地去学,就会看到感受本身也是苦。

那行蕴呢,看到行蕴也就是造作好、造作坏是苦。在我们造作坏的时候,感觉到了吗?我们的心是没有快乐的。一旦它造作好,我们很满意,会生起喜、生起乐。我们造作好,比如我们用心听法、用心修行,我们的心非常美,有快乐、非常快乐,要想看到它是苦,这些好的也是苦,那是很难看到的,要慢慢地去看。

坏呢,对于修行人来讲,这些坏我们看到它是苦很容易。因为比方说心生起了淫欲心、贪心,我们的心就会忐忑不安;心生起了嗔心,我们的心也是忐忑不安,没有任何快乐;心迷失,就像猫狗一样一直迷失,看起来根本没有任何快乐,就好像没有觉性的人,就好像吸毒上瘾的人,根本什么也不懂、不知道。看了之后就觉得所有的不善法,根本没有任何快乐可言,这个很容易看。但是善法要想看到它是苦,那并不容易。

粗糙的善法,如果我们修的是比较粗糙的善法,还很容易看。比如我们去做功德,心很愉悦,如果我们有觉性,就会看到生起的愉悦感其实让心失去了平衡。心就会膨胀,然后它很高兴、很兴高采烈、很法喜,这些全都是很好的,但当我们的修行越来越细腻,我们就会知道:哎呀,我们的心已经失去平衡了,开始动荡起伏。造作好也会动荡起伏,造作坏根本不用提了,那更糟了。造作好,很微细的造作好,很难看到它本身是苦。

造作好,比较微细的造作好,比如禅定里面的那些禅支。比方说三果的阿那含圣者,已经断了欲界的贪了。我们拥有的世间的快乐,那个称之为欲乐,源自于看、听、接触的快乐,那是属于五欲的快乐。三果阿那含圣者看到五欲的乐是苦,但是他满意于禅支的快乐,满意于色界定的乐和无色界定的乐。根本看不到心在入色界定的时候是苦,有的只是快乐。心是中舍的,有的只是快乐,或者是有喜有乐。如果更高的话,就是中舍的。或者心进入无色界定,心是中舍的。

那心是怎么快乐呢?它快乐是因为它的刺激比较少,是因为心在禅定里的时候被刺激得比较小。是什么在刺激它呢?是色、声、香、味、触,所有五欲的所缘全部都是刺激心的工具。但是如果我们入定入到色界定,心就会摆脱这些源自于眼、耳、鼻、舌、身方面的刺激了,只剩下意根方面的刺激,但是还看不到,只是觉得很快乐。

或者进到无色界定,彻底地逃离了眼、耳、鼻、舌、身方面的接触,一旦眼、耳、鼻、舌、身全消失,身体也消失,世间也消失了,只剩下单一的心。要想看到它苦是很难的,因为根本没有任何东西来刺激它了,必须要觉性、智慧真的圆满才会看到这些东西依然在示现三法印。

在色界定里的心很容易看到在示现三法印,但是在无色界定里的心是很难看到的。要慢慢地去修行,直到最后看到——心,无论处在哪一界、哪一道,无论是在欲界、色界还是无色界,依然不稳固,依然是无常的,依然控制不了,依然还在被刺激,如果不被刺激,它就不会灭掉。

在禅支里的心,跟我们的心也是一模一样的,也是生了就灭的心。如果觉性、智慧很圆满了,会看到这里依然没有任何意义,这是属于微细的贪。做了那么多功德和好的事情才能够抵达这个地方,但是那骨子里面依然还有喜欢,依然还有贪。因此粗糙的烦恼习气很容易看,而微细的烦恼习气,比如像善法一样的就不太容易看了,但是依然敌不过觉性与智慧。

慢慢地去体会,别相信说:“啊,结束了,毕业了”。有的人很喜欢说结束了,那就是彻底地结束、完蛋了,就无法继续往前走了。曾经有出家人来告诉隆波说结束了,隆波说不是的,他的心一下子掉下来了。看到了吗?你的心依然还有满意与不满意呢。他说看到了。那依然还有这个程度的满意与不满意,依然还有伤心、难过,那些是属于嗔心,三果阿那含圣者都还没有证悟到,所以从阿罗汉不停地往下掉。被烦恼习气骗了,修行之后想变成这样、变成那样,想象自己是这样、是那样子了。或者有的地方喜欢授受:你学到这个程度证悟初果,到那个程度证悟某某果……我们检测自己是否进步,检测的是自身的烦恼习气哪些断了,哪些还没有断;哪些烦恼习气是彻底地断了,哪些是暂时地断了。必须要慢慢地去观察自己。

修行,非常重要的点在于我们必须要有善知识,必须要有!我们的善知识,处在类似于金字塔的塔尖的善知识就是佛陀;佛陀已经不在了,那什么是我们的善知识呢?戒与法。佛陀的戒与法汇集在三藏经典内,因此我们有机会要去学三藏经典,学了之后去观察,最后要拿来实修。这是最高的——类似于金字塔的塔尖。

我们要慢慢去体会,如理作意,去对照我们的实修跟三藏经典里教的是否相一致。比如有的人说:什么也不用做,然后努力地去憋,憋的时间越长越好,这样就会开悟。这类见解和经典就不一致了,那我们就不要,我们就直接把这样的教导删除掉、排除掉。或者是说让很有神通能力的仙帮我们把心跟佛陀连接在一起,这跟佛陀的教导不一致,这类的就可以把它排除掉了。我们就用这样的方法,仰赖于非常重要的善知识——三藏经典,仰赖于如理作意去观察我们所呈现的境界与状态、我们修行的方法跟三藏经典是否相一致。

比如我们要修毗钵舍那,我们是真的在修习四念处吗?四念处起步的阶段获得觉性,后面的阶段获得智慧,尤其是毗钵舍那的智慧。如果我们偏离了四念处这条路,那肯定是不对的。比如你通过到处去顶礼那些天神,得以在某时可以证悟道果,那肯定不是路了。我们必须要知道这些。我们必须要这么修行——在正确的原则与框架内修习四念处、奢摩他、毗钵舍那。

我们修行有什么结果出现了,如果有高僧大德……这很难说,怎么知道这位好还是不好呢?必须要观察。如果我们有好的高僧大德,当我们修错了,他马上就告诉修错了;一旦修对了,他就告诉我们继续修、继续用功,依然还不够。如果我们没有值得依止的高僧大德,我们就必须要仰赖于三藏经典,仰赖于佛陀的教导。比如隆波用来检测自己的方法就是:我们自己的修行有这样那样的结果,它跟三藏经典的教导相一致吗?这就属于如理作意。

因此,在我们修行的时候,要去看我们正在做的这些、正在修行的这些,跟三藏经典教导的原则相一致吗?修行的结果跟佛陀的教导是否相一致呢?要从这里来检测,要以自己的心很诚实地去检测,要如理作意,而不是有的只是贪心,然后不停地偏袒自己,要慢慢地去观察。

今天讲的是什么内容?很奇怪。要去用功,根本没有谁可以帮得了谁。隆波去请益的那些高僧大德,他们并没有让隆波证悟道果,隆波必须要自己去动手实修。修了之后一直都是对的吗?不是的。修了之后跟我们大家一样也是坎坎坷坷的,说起来隆波经历的坎坷比大家更多。大家的方法是通过做禅修报告,然后说这里错了、那里错了,对隆波而言,那些错并不奇怪,因为隆波之前犯过错,犯了非常多的错,但是没有气馁,不停地有次第地去观察自己。

有机会见到高僧大德,有时候必须要靠他们来帮忙指正。在修行这块,隆波曾经仰赖高僧大德指正只有七次而已。我们自己实修了之后,已经实在没有办法不知道该怎么往前走了,他们稍微点拨一下自己就明白了。大部分是依靠自己去观察、去体会。

在听各种各样教导的时候,如果跟三藏经典相违背,隆波就不要了。比如说三果的阿那含圣者还可以再次出生,证悟阿罗汉也可以再次重新出生,这个就是假的阿罗汉了,不是真的阿罗汉。这些人既不知道经典理论,也不知道实修,有的只是散乱,那是属于毗钵舍那的杂染,就会这么散乱,以为自己知道,看烦恼习气看不出来。因此现在听法,无论谁讲法,都别扔掉了《卡拉玛经》,别轻易地就相信,即便是隆波听隆布敦长老教导若有不明之处,隆波也是先放一放。隆波不相信,但是也没有去冒犯,因为想到自己还很蠢,还没有抵达。但是必须要去实修。实修坚决不能与佛陀的教导相违背,最后才明白,哦,隆布敦长老说“心清楚地照见心是道”的境界。他说的比较迂回,不敢实话实说,不然就会被找麻烦。事实上,“心清楚地照见心”属于阿罗汉道。因为在那之前他开发智慧,从身、受不停地契入进来,知道有次第地不停地放,在最后阶段的修行他其实就是在心里面彻见,所以他说“心清楚地彻见心”,那是对的。彻见到什么?彻见到在示现三法印。

彻见三法印后能够放下心;能够放下心就会放下蕴;能够放下蕴就会放下整个世间。最重要的点在于我们自己的心,能够抓着一个心,就会抓住所有的蕴。有一颗心又会重新创造出所有的五蕴,能够放下心,就能够放下五蕴。最后就会在心里面彻见。

高僧大德的教导没有错,跟佛陀教导是一致的,仅仅只是他不敢实话实说,不然别人就会找他麻烦。那些听不懂的人,就误以为他自我炫耀。隆布敦长老因为教导心法几乎被别人攻击,说他自我炫耀。有一群出家人准备一起聚会,要求他还俗,说他自我炫耀——只是一味地说心,为什么不去教导念“佛陀”、思维身体!他们去邀请阿姜摩诃布瓦尊者,阿姜摩诃布瓦尊者说:“这位师父我不碰的”。他们一听就明白了,所以就停止了、不敢了,不敢再去找隆布敦长老的麻烦。因此长老自己说的时候同样也很小心,必须要很委婉。那些抱持邪见、知见很多、我慢很多的人有很多,但是长老的教导跟三藏经典并不冲突,完全是一模一样的,完全一致。

因此我们在听别人说的时候,他不停地说法、修法,要先听,如果他说的符合原则就可以。而且还要看到结果,他只是一味地能说,还是他也能做得到?必须要区分。“能说”和“能做得到”那是不一样的,说很容易,做起来是很难的。

因此,大家到处谣传的那些东西可以暂时停歇了。包括那个什么十条……刚才还记得,现在记不起来了,全部都忘了。还有哪些谁想得起来?不要(盲目)相信。别忘了《卡拉玛经》,什么时候扔掉《卡拉玛经》,什么时候就愚昧了。大家自己去找《卡拉玛经》读吧。

好,今天讲法就讲到这里。

自己去用功,不要盲目相信,如果盲目相信就愚蠢了。不相信,然后既不去做也不问的话那就更蠢了。可以靠自己去验证的,佛陀的法并不是邀请大家相信的,而是让你亲自挑战去验证的,也可以邀请别人说:你来试一试嘛。佛陀说你不要相信他,你来试一试。

他说的那个东西是不是真的可以离苦?比如我们像隆波所说的那样去修行了,我们的苦有缩短吗?我们的苦有减少吗?我们的苦有减轻吗?我们自己可以去检测,不需要来相信隆波。可以靠自己来检测的,我们的生命、我们的心真的有变化吗?可以自己去检测的。

来观察另外一点,隆波从来没有跟大家伸手化缘过。如果遇到讲得很好听,最后是要伸手化缘的,那就不对了,你就可以退出来了。提醒一点点,这个时代AI技术很厉害,如果哪天有电话打过去,有隆波的脸,有隆波的声音,然后伸手要钱了,你就直接去骂他。或者告诉说这个寺庙的出家人去化缘要钱,那些全都是骗子。隆波不会放任这里面的出家人跟谁去伸手要钱的。曾经有人去跟别人化缘的,最后在这里面待不下去,要离开的。这里是佛陀的弟子,而不是那些乞丐的弟子。必须要聪明。

好,接下来做禅修报告。

注:卡拉玛经Kalama Sutta南传.巴利文.大藏经.经藏.增支部 《卡拉玛经 Kalama Sutta》取自巴利文《增支部 Avguttara nikaya 》。 世尊说: 一、不因为他人的口传、传说,就信以为真。 二、不因为奉行传统,就信以为真。 三、不因为是正在流传的消息,就信以为真。 四、不因为是宗教经典书本,就信以为真。 五、不因为根据逻辑,就信以为真。 六、不因为根据哲理,就信以为真。 七、不因为符合常识外在推理,就信以为真。 八、不因为符合自己的预测、见解、观念,就信以为真。 九、不因为演说者的威信,就信以为真。 十、不因为他是导师、大师,就信以为真。


译者声明:由于受到语言以及个人修证水平所限,跨越语种后很难如实还原隆波帕默尊者的本意。译作若有任何不精准之处,完全归责于我们,欢迎大家不吝指正。



本篇文字整理:当下就启程吧

编辑声明:法谈文字整理的过程,也是小编们修行用功的过程,有任何疏漏和不完善的地方,敬请通过提交表单或私信的方式提醒我们,我们将加倍谨慎小心。文字表达的精准程度没有止境,但我们一直在努力。诚挚地感恩并随喜您的功德!

译者声明:由于受到语言以及个人修证水平所限,跨越语种后很难如实还原隆波帕默尊者的本意。译作若有任何不精准之处,完全归责于我们,欢迎大家不吝指正。

Qrcode for iDhamma.png
主题: 中文书籍 · 阿紫翻译 · 中文字幕 · 法谈摘录
法语微言 · 学篇 · 戒学篇 · 心学篇 · 心念处篇 · 身念处篇 · 慧学篇 · 五蕴篇 · 奢摩他篇 · 毗钵舍那篇 · 觉性篇 · 四圣谛篇 · 八支圣道篇 · 解脱篇
首页 · 历届中文 · ไทย · EN课程总览
中国 C:1 · 2 · 3
泰国 T:1 · 2 · 3 · 4 · 5 · 6 · 7 · 8 · 9 · 10 · 11 · 12 · ☆第13届泰国四念处课程实录
大马 M:1 · 2
远程 E:1 · 2 · 3 · 4 · 5 · 6 · 7
日常 D:2013 · 2014 · 2015 · 2016 · 2017 · 2018 · 2019 · 2020 · 2021 · 2022 · 2023 · ☆2024年度最新视频回放
注:C-国内 · T-泰国 · M-大马 · E-远程 · D-日常 · 帮助文档


媒体平台
法堂直播 · 法藏资源 · 法宝云盘 · 法讯互助 | 公号:禅窗 · 甘露雨 · 指月录 · 当下就启程吧 · Go Sati
全球: 解脱园 · 甘露雨 · 甘露雨APP · 千聊 · 四念处Podcast-中 · Podcast-EN · Podcast-ไทย · 四念處學會| 海外: YT·Audio-中 · YT-中· YT-ไทย · YT-EN · FB-中 · FB-ไทย · FB-EN · 靜慮林