有觉性 以安住且中立的心 照见身心的实相
D24.76《隆波帕默尊者開示》-2024年9月7日/zh
ทำสมถะเพื่อให้จิตมีแรงและตั้งมั่น
許多居士的修行進步了,修行是需要時間的。當我們積累煩惱時,花了很長時間;要清除這些煩惱,也同樣需要時間。不是一禪修就馬上見效。泰國人心急,想要快速得到結果,不太有耐心。老年人眼中的年輕一代,覺得令人擔憂,因為他們不太有耐心,做事浮躁。許多企業主也在抱怨,僱傭泰國人工作,不久就辭職了,想休息哪天就休息,工作出現問題也不負責。
所以,很多企業主只好僱傭外國勞工工作。有些人認為這些外國勞工搶了泰國人的工作,但實際上並沒有搶,因為泰國人自己不太願意做這些工作,過於追求安逸。其實,泰國男人,依照師父的看法,每個男人都應該去當兵,至少要接受訓練,這樣才能變得堅強,有點耐心。不能一看到壁虎就驚叫,那敵人會嘲笑我們的。而作為佛教徒,到了合適的時間應該出家,但出家也要選擇真正修行的寺廟。
出家修行的生活並不舒適,需要極大的忍耐與克制。如果我們曾經歷過困苦,就不會害怕困難;但如果從小父母嬌慣,害怕吃苦,內心不夠堅定,那麼在世俗中會感到難以生存,在修行的道路上也難以有發展機會。而如果想真正開始修行,軟弱的人是做不到的。與煩惱作鬥爭不是鬧着玩的事情,也不是兼職工作,不能隨便空閒時才去做。煩惱就像雜草,總是不斷生長。如果我們沒有足夠的智慧和覺性去與之鬥爭,時斷時續地修行,煩惱就會重新佔據心。
有很多僧人是師父認識的,以前來這裏學習,專心修行,居士們也很尊敬他們,生病時還一起照顧,花費了很多錢為他們治療。然而,他們修行一陣子又停下來,修行一陣子又停下來。到了某個時候,他們失去了動力,覺得無法繼續修行,於是就放棄了,荒廢了一生。修行需要忍耐和堅強,如果不能克制自己,就會被煩惱打敗。克制自己就是"調伏"(ทมะ),要懂得克制自己,不輕易放棄,還需要"忍辱"(ขันติ),忍耐一切艱難困苦。
沒有藉口,今天太冷了,想先睡一會兒;今天太熱了,沒法修行;藉口一大堆。太餓了,先休息一下,等不餓了再修行。如果有人有這樣的習慣,就應該改掉,這是不吉祥的習慣,這樣是無法修行的。如果我們想修行,就必須具備忍耐,不管多麼困難都要堅持修行,絕不能向煩惱屈服。還要有調伏之心,能夠克制自己。如果軟弱就會失敗,失敗後會怎樣呢?失敗後就會繼續受苦,而心中原本想要奮鬥的力量也會逐漸消退。
有些人修行時進步了,但隨後又退步了。即便如此,他們還是堅持修行,不放棄,進步了一段時間後,又再度退步,但依然忍耐,不放棄,繼續修行。即使跌倒了,也不屈服,最終有一天就會勝利。這就像古代的戰爭一樣,無論在印度還是中國,爭奪都城和王位的戰鬥中,有些人一次又一次失敗,但他們不屈服。失敗後重新集結力量,繼續戰鬥。中國也有這樣的例子,比如漢朝開國皇帝劉邦,他一開始屢戰屢敗,但只要勝利一次,就統治了中國,漢朝延續了400多年。
因此,我們修行時要真正奮鬥,要有決心。進步時繼續修行,而不是因為進步了就放鬆。退步時也繼續修行,而不是因為退步就灰心喪氣,放棄修行。要勇敢、堅強,懂得忍耐,懂得等待時機。作戰時,不是有力氣就一味猛攻,而是要把握進攻和退卻的節奏。有時需要暫時撤退,就像毛澤東與蔣介石的戰爭一樣,無法抵抗時,甚至面對日本的進攻也力不從心,於是進行了長達萬里的長征,逐步撤退,但最終沒有失敗。時機成熟時,再次集結力量反攻。
當隆波還是小孩的時候,長輩們常常教我們要忍耐,哪怕是一些小事,也要學會忍耐,學會克制自己,學會等待。我曾經講過一個故事,以前有個中國人挑着玩具來我家門口賣,那玩具是塑料做的,一個才一塊錢左右,有一輛火車玩具,包括一個火車頭和一個客車車廂。我很想要,就跟爸爸說讓他買給我。爸爸說:「明天再買,先學會等待。」於是我等着,到了下午,我就到門口等着,怕錯過了小販。小販來了,爸爸說:「這有兩節車廂,先買一節吧,買後面的車廂,火車頭明天再買。學着等待。」
我心裏想,哎,為什麼只買一節呢?應該買火車頭啊,後面的車廂沒什麼好看的,火車頭才好看。但爸爸讓我等,要我忍耐。第二天我又去等那個賣家,結果發現他已經把火車頭賣掉了!當時真的很失望、難過。不過,我還是拿着那節車廂,用繩子拉着,在家門口的路上玩。後來,鄰居家的小孩也拉着他們的火車頭走過來,我們彼此對望了一下,然後各自拉着自己的火車回家。當時我覺得大人是在故意捉弄我,但他們其實是要教我學會忍耐和等待。
忍耐和懂得等待並不是小事。如果我們要修行,但心急如焚,是不會有好結果的。心急的時候,覺性和定力都會失去。當下可能還不是我們得道果的時候,我們只能繼續等待。但這並不是消極等待,而是要繼續修行。想獲得成果,想成為初果聖者(須陀洹),這是每個修行者的願望。然而,成就須陀洹並不是靠欲望得到的,而是以卓越的智慧修習奢摩他和毗婆舍那才能達到的。
奢摩他是必要的,它可以使我們獲得力量,並讓心穩定。因此,我們需要進行奢摩他的修行和毗婆舍那業處的修行,並且明白這些修行的目的。奢摩他的目的是讓心得到安寧和力量,為進一步開發智慧做好準備。如果僅僅有力量還沒有辦法開發智慧,就像只是鍛煉武功使身體強壯,卻不知道如何戰鬥一樣,面對挑戰也無法勝出。首先,我們需要訓練心使其寧靜,獲得力量。接着,我們要使心安住,成為一個知者、醒者、喜悅者。
心安住用來開發智慧,然而若心力不足,就無法開發智慧。比如當我們心安住時,能夠分離五蘊,看到色法和名法的三法印,持續觀下去。然而,當心力耗盡時,毗婆舍那雜染(vipassanūpakkilesa)就有機會潛入,欺騙我們,導致修行被誤導。大多數情況下,這種欺騙讓我們以為自己已經證得道果,但實際上什麼都沒有證得,反而墮入無明之中。當心力不足,強行修觀,毗婆舍那的雜染就會出現。
如何消除毗婆舍那雜染(vipassanūpakkilesa)並恢復到奢摩他(samatha)讓心安住?例如,修行時出現光芒,仿佛世界一片光明,無論白天黑夜都充滿光亮。這時,愚蠢的人可能誤以為已證得道果,而那些聽過師父教誨的人會意識到這是毗婆舍那雜染。要克服這種情況,首先要讓心寧靜下來,不要再去關注這些光芒,因為這是心外散的表現。應引導心與單一快樂的所緣在一起。當心集中了,毗婆舍那雜染就會消失。如果心沒有足夠的力量,不會成功克服這種障礙。
我們必須知道修習奢摩他是為了什麼,是為了讓心有力量,讓心安住。具有力量的心是持續安住在單一的所緣中,這稱為止禪(อารัมมณูปนิชฌาน Ārammanupa-nijjhana)。安住的心是準備觀察色法和名法的三法印。它處於平靜(สงบ)狀態,這稱之為觀禪(ลักขณูปนิชฌาน Lakkhanupa-nijjhana)。這兩者雖然不同,但都各有益處,都是正定。但如果在打坐時沒有正念,被痴所籠罩,那就是邪定,不可使用。邪定會讓煩惱更加滋長。
因此,我們需要知道,我們為什麼要禪修,為什麼要修習奢摩他。是為了讓心有力量,讓心安住。當心沒有力量時,將心持續專注於一個所緣,重視那個境界,心就會有力量。因為心沒有東想西想,跑來跑去,而是安住於一個所緣,心就得到了休息,所以心就有力量了。
要讓心安住,就是有覺性知道心的行為。比如我們吸氣「佛」,呼氣「陀」,當心跑去想其他事情時,要覺察到心已經跑去想了,而不是將心引回呼吸或念佛陀,而是覺察到心的狀態。因此,這兩種禪定方法是不同的。第一種為了讓心寧靜,所緣是主角;第二種為了讓心安住,心是主角。這兩種方法不一樣,結果也不一樣。因此,我們要時刻覺察自己的心,做任何我們擅長的禪修方法,同時保持對自己心的覺知。
有些人使用心念住也是可以的。比如當隆波遇到隆布敦(LuangPu Dune)的時候,隆波用心念住,就看到貪心、嗔心、痴心的生起和滅去,看到散亂的心、沮喪的心生起和滅去,持續觀下去,可以開發智慧。當心力耗盡時,該怎麼做?需要回到呼吸、念佛陀嗎?不必要。如果我們已經擅長修業處,就不需要將心轉回到呼吸,而是關注心本身。不要去關注心跑掉了或專注的狀態,而是轉而安住於一個單一的境界(所緣)。
如果我們觀察心,有兩種心容易用於修習奢摩他。在經典中常提到這兩種心適合修習奢摩他,其實如果掌握得好,也可以用於修習毗婆舍那。其中一種心是空,光明、明亮而空曠。這種心屬於第一種無色界的心,心處於一種空空隙之中。空隙與空是不同的。你見過水管嗎?像那種圓形的水管,水管中有空洞,這個空洞是空的,但它仍然有邊緣和外殼,這就是空隙。我們在打坐時,觀察這種空隙,它有邊界。如果我們將心沉浸在這種空隙中,心便可以得到休息。
另一種容易讓心用來休息的是在無所有處(Ākiñcaññāyatana),不抓取色法、不抓取名法,但這一種稍微有些難。如果我們不抓取色法,就會抓取名法;不緊盯色法,就會緊盯名法。而這個是集中在虛無(ความไม่มีอะไรเลย),捨棄色法,捨棄名法,進入空空如也(ว่างๆๆ)的狀態,空到我們最初會以為是涅槃。因此,當我們觀察心的生滅不斷地發生,看到貪生滅,看到嗔生滅,當心疲憊的時候,它會趨向於進入空空的狀態,這樣也是可以的。但如果無法做到,或者心不願意這樣做,那就控制它一下,回到我們擅長的基礎禪修業處上去。
就像隆波禪修時,觀心直到熟練,覺性變得非常快,定力也一直保持着。繼續觀察心的生滅,直到最後心力耗盡。當心力耗盡時,本應該讓心安住在寧靜的空中休息,但我沒有,我繼續努力觀察生滅,可以說是強迫自己不停地觀。或者本應該回到我們熟悉的呼吸練習,但我也沒有做,覺得那樣是在浪費時間。我在智慧的道路上走得很遠,哇,這太有趣了!從未了解的得到了了解,從未見到的得以見到,從未理解的得到了理解,感覺非常有趣,結果卻沉迷於毗婆舍那,忽略了奢摩他,這是行不通的。最終,這導致了「毗婆舍那雜染」的出現。
因此我們要知道,禪定是必要的。首先,它讓我們有力量;其次,它使心安定。什麼時候應該讓心恢復力量呢?就是當心力衰退的時候,要馬上去修,不必等到它完全耗盡。就像手機電池,不需要等到電量為零才充電,剩下10%的時候我們就可以去充了。如果等到0%再充,電池可能會壞掉,心力也可能會崩潰。而什麼時候應該使心安定呢?當心已經有力量,但只是靜止不動的時候。光是安靜不動是沒有用的,所以我們需要訓練心使其安定。一旦心安定下來,以後它就可以繼續工作了。
พอจิตตั้งมั่นแล้ว ต่อไปมันจะไปทำงานได้ งานแรกที่มันทำก็คือ การแยกรูปนาม แยกขันธ์ คนที่เรียนปริยัติ เขาก็รู้จักทั้งนั้น นามรูปปริจเฉทญาณ มีปัญญาแยกรูปนาม พูดได้ แต่แยกได้อย่างไร แยกโดยการคิดเอาว่านี่รูปนี่นาม อันนั้นไม่ได้มีคุณภาพของการแยกเลย เราต้องฝึกจิตจนตั้งมั่น พอจิตตั้งมั่นแล้ว สติระลึกรู้รูป มันจะเห็นรูปกับจิตคนละอันกัน สติระลึกรู้เวทนา ก็จะเห็นเวทนากับรูปคนละอัน เวทนากับจิตก็คนละอัน สติระลึกรู้สังขารที่เป็นกุศลอกุศลทั้งหลาย ก็จะเห็นกุศลอกุศลไม่ใช่รูป แล้วก็ไม่ใช่เวทนา แล้วก็ไม่ใช่จิต เป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า มันแยกออกไปเรื่อยๆ แล้วพอแยกเข้ามาถึงชำนิชำนาญ เราจะเห็น จิต เวลาจิตเกิด ไม่ได้เกิดดวงเดียว เกิดดวงเดียวแต่ว่าไม่ใช่เกิดคนเดียว มันเกิดร่วมกับเจตสิกจำนวนมาก
จิตทุกดวงมีเวทนา จิตทุกดวงมีสัญญา แล้วก็มีสังขารบางอย่าง แล้วสังขารที่แตกต่างกันนั้น ก็ทำให้จิตวิจิตรพิศดารแตกต่างกันไป เป็นจิตดี จิตชั่ว จิตดีก็มีหลายระดับ จิตชั่วก็มีเยอะแยะเลย มีมากมาย มันจะค่อยๆ สามารถแยกได้ ถ้าจิตเราตั้งมั่น ถ้าจิตไม่ตั้งมั่น มันก็แยกด้วยปาก แยกไม่ได้จริงหรอก เกือบร้อยละร้อยของคนภาวนาไม่มีจิตที่ตั้งมั่นเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ฉะนั้นภาวนาเหน็ดเหนื่อยมากเลย สุดท้ายก็ท้อแท้ใจ ก็เลิกไป
การทำวิปัสสนา เราก็ต้องรู้ ทำเพื่ออะไร ทำเพื่อให้เห็นความจริงของรูปนามกายใจ เห็นไปทำไม ถ้าเห็นแล้วจะเบื่อหน่ายคลายความยึดถือ แล้วก็ปล่อยวางรูปนามได้ หลุดพ้น มีวัตถุประสงค์ของมัน เราจะทำวิปัสสนาตอนไหน ตอนที่จิตเราตั้งมั่นแล้ว ถ้าจิตเราไม่ตั้งมั่น ไม่ต้องรีบทำวิปัสสนา มันเป็นวิปัสสนึกหมด คิดๆ เอาทั้งนั้น วิปัสสนะ ก็ต้องเห็นเอา ไม่ใช่คิดเอา มันจะเห็นได้ มันก็ต้องมีผู้เห็น คือจิตที่เป็นผู้เห็นได้ จิตที่เป็นผู้รู้
ฉะนั้นในสายตาหลวงพ่อ ในทัศนะหลวงพ่อ ถ้าเราไม่มีจิตผู้รู้ เราภาวนาไม่ได้จริงหรอก ภาวนาไม่ได้จริง พูดคำว่า 「จิตผู้รู้」 พวกที่เรียนอภิธรรมเรียนอะไร หรือเรียนสายปริยัติ เขาก็จะไม่เข้าใจ ก็จิตทุกดวงเป็นผู้รู้อยู่แล้ว คำว่า 「เป็นผู้รู้」 นี้เป็น Technical term ของครูบาอาจารย์วัดป่า จิตทุกดวงเป็นผู้รู้อยู่แล้ว อันนี้ไปทางปริยัติ เพราะจิตทำหน้าที่รู้ แต่จิตผู้รู้ มันเป็นจิตที่ถอนตัวออกจากปรากฎการณ์ คล้ายๆ อยู่เหนือปรากฎการณ์ของรูปธรรมนามธรรม
ไม่ใช่ถอดจิตไปอยู่บนหลังคา มันแยกในความรู้สึก มันเห็นกายก็อันหนึ่ง จิตก็อันหนึ่ง อย่างเดินจงกรม เห็นกายมันเดิน จิตเป็นคนดู รู้อิริยาบถ 4 เห็นอิริยาบถ 4 เห็นร่างกายเคลื่อนไหวไปในอิริยาบถ 4 จิตเป็นคนดู ทำอานาปานสติ ก็ไม่ใช่เอาแต่หายใจให้จิตสงบ ก็จะเห็นว่าร่างกายที่หายใจก็อันหนึ่ง จิตที่รู้ว่าร่างกายหายใจเป็นอีกอันหนึ่ง
ค่อยๆ ฝึก แล้วเราจะรู้เลยว่า การปฏิบัติธรรมจริงๆ ไม่ได้ยากเกินไป ธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอน เป็นธรรมะที่พอดี สำหรับมนุษย์ธรรมดาๆ คนหนึ่ง อย่างพวกเราจะทำได้ ขอให้รู้วิธีเท่านั้น พระพุทธเจ้าไม่เอาอภิธรรมมาสอนมนุษย์เลย ไม่ได้สอนเท่าไรหรอก มีบ้างแบบปนๆ มา อย่างสอนเรื่องขันธ์ 5 อายตนะ 6 ธาตุ 18 อินทรีย์ 22 ปฏิจจสมุปบาท พวกนี้เป็นอภิธรรมทั้งนั้น เราจะได้ยินคำว่า 「อภิธรรม」 ก็อย่าเพิ่งตกใจ อภิธรรม ที่เราภาวนาแล้ว เราเห็นสภาวะทั้งหลาย เรากำลังเรียนอภิธรรมอยู่
อย่างเราเห็นรูป ร่างกายที่มันเคลื่อนไหว มันรูป จิตมันเป็นคนดู เราเรียนอภิธรรม อภิธรรมเรียนเรื่องอะไร จิต เจตสิก รูป นิพพาน เรียนสิ่งเหล่านี้ ที่เราเรียนก็เรียนอย่างนี้ ที่เราหัดภาวนา เราก็เรียนรู้ ความเป็นไตรลักษณ์ของจิต เจตสิก รูปนั่นล่ะ พอเรียนถ่องแท้แล้ว จิตปล่อยวาง จิต เจตสิก รูปได้ ก็สัมผัสพระนิพพาน เห็น เข้าถึง เข้าถึงพระนิพพาน
การทำสมถะก็ต้องมีปัญญา เพราะฉะนั้นเราต้องรู้ การทำสมถะก็ต้องมีปัญญา ปัญญาอย่างแรก รู้วิธีปฏิบัติ แล้วสมถะมี 2 อัน แต่ละอันทำไม่เหมือนกัน อันหนึ่งน้อมจิตไปอยู่ในอารมณ์อันเดียว ที่มีความสุขอย่างต่อเนื่องจะได้สมถะ ได้สมาธิชนิดสงบ อีกอันหนึ่งก็ทำกรรมฐานอย่างเดิม แต่เปลี่ยนความสนใจมาจากอารมณ์ มารู้ทันจิตตนเอง อย่างถ้าเราใช้จิตตานุปัสสนา จิตโกรธเรารู้ว่าโกรธ ทันทีที่รู้ว่าโกรธ ความโกรธดับ จิตจะตั้งมั่นขึ้นอัตโนมัติ
เรามีราคะ เรามีสติรู้ว่ามีราคะ ทันทีที่เกิดสติ จิตที่มีราคะดับไปเรียบร้อยแล้ว จิตที่มีสติเกิดขึ้นแทนที่แล้ว พอจิตที่มีสติที่เกิดขึ้นแทนที่นั้น มีสัมมาสมาธิประกอบอยู่ด้วยเรียบร้อยเสมอ อันนี้แบบใช้จิตตานุปัสสนา มันจะได้ทั้งสติ ได้ทั้งสมาธิ แล้วสุดท้ายก็มีปัญญา ถ้าใช้กายก็แบบเดียวกันนั่นล่ะ มีสติรู้สึกร่างกายไป
ต่อไปนี้หายใจออกรู้สึกตัว หายใจเข้ารู้สึกตัว เห็นไหมรู้สึกได้นิดเดียว แอบไปคิดเรื่องอื่นแล้ว หายใจไปแล้วแอบไปคิดเรื่องอื่น ทำอย่างไร รู้ว่าหนีไปคิดแล้ว หลงไปคิดแล้ว หลงไปคิดแล้วทำอย่างไร ไม่ต้องทำอย่างไร ขณะที่รู้ว่าหลงคิด จิตที่หลงคิดเป็นอดีตไปหมดแล้ว จิตดวงนี้ตั้งมั่นแล้ว แต่มันสั้นนิดเดียว มันดูยาก ทำบ่อยๆ แล้วมันจะดูได้
สอนกรรมฐานแล้วนึกถึงนิยาย เรื่องฤๅษีเลี้ยงลิง ลิงมันซน พวกเราก็มีลิงอยู่ในตัวเอง กระโดดโลดเต้น เดี๋ยวกระโดดไปทางตา เดี๋ยวกระโดดไปทางหู เดี๋ยวกระโดดไปทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ถ้ารู้ทันลิงตัวนี้ได้ก็โอเคแล้ว หรือเหมือนดูละครก็ได้ เวลาเราอยู่ในโลกนี้ ถ้าเรามีสติอยู่ เรารู้สึกเลย เรากำลังเล่นละครอยู่
การที่เรายิ้ม หัวเราะ หน้าบึ้ง ทางร่างกายเราก็เล่นละครอยู่ เราดูเหมือนดูละคร ในจิตใจก็เหมือนกัน เดี๋ยวตัวดีก็มา เดี๋ยวตัวร้ายก็มา เราก็ตามรู้ตามเห็นอย่างที่มันเป็น เหมือนเรากำลังดูละครอยู่ ละครโรงนี้ชื่อรูปนาม ชื่อกายชื่อใจ เรียนรู้มันไป ดูมันเหมือนดูละคร ดูละครก็คือไม่ต้องจริงจังมาก ดูคนอื่นเขาแสดง แสดงดีไม่ดี ดูไปแล้วโมโห ดูแล้วหมั่นไส้
อย่างดูละคร หลวงพ่อไม่ได้ดูมานานนักหนา ละครไทยหลังข่าวอะไรอย่างนี้ ไม่ชอบดูละครมาแต่ไหนแต่ไร ก็เห็นบ้างอะไรบ้างแบบไม่เจตนา สังเกตนางเอก ยุคนี้ไม่รู้เป็นอย่างไร นางเอกยุคก่อนเรียบร้อย สุภาพ งี่เง่า โดนเขารังแกก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ร้องไห้ พระเอกก็เข้าข้างแต่นางผู้ร้าย นางอิจฉา ตอนจบนางเอกชนะ เราดูไปเรื่อยๆ ทีแรกเราก็สงสารนางเอก แต่นางเอกมันโง่ตลอดกาล เราชักโมโหแล้ว
ใครเคยดูละครแล้วโมโหนางเอกไหม ทำไมมันสู้เขาไม่ได้สักที ตบมันเลย ก็เราไม่ใช่ผู้กำกับ เราสั่งให้นางเอกไปตบไม่ได้ เราเป็นแค่คนดู เราตามรู้ตามดู พระเอกก็เหมือนกัน เก่งสารพัดเลย เป็นนักเรียนนอก เป็นทายาทเศรษฐีใหญ่ แต่ถูกนางอิจฉาหลอก พล็อตเรื่องก็ซ้ำๆ อยู่แค่นี้ ไม่ค่อยมีอะไร หลังๆ ก็มีพล็อตเรื่องข้ามภพข้ามชาติ ข้ามมิติ ก็ลอกๆ กันไปทั่วโลก คนเรามันก็คิดได้แค่นี้ คิดในกรอบที่คุ้นเคย
เพราะฉะนั้นธรรมะคิดเอาไม่ได้ ธรรมะเป็นของที่เราไม่เคยรู้ ไม่เคยเห็น ฉะนั้นธรรมะคิดเอาไม่ได้ ปฏิบัติเอา ถ้าต้องการความสงบทำอย่างไร น้อมจิตไปอยู่ในอารมณ์อันเดียว ที่มีความสุขอย่างต่อเนื่อง ถ้าต้องการให้จิตตั้งมั่นทำอย่างไร รู้ทันพฤติกรรมของจิต จิตไหลไปทางตาก็รู้ ไหลไปทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ไหลไปทางใจคือไปคิดก็รู้ จิตก็จะไม่ไหล จิตที่ไม่ไหลไปคือจิตที่ตั้งมั่น
จิตที่ไหลไปหลวงปู่ดูลย์เรียกว่า 「จิตออกนอก」 จิตที่ออกนอก ไหลไปแล้วเป็นอะไร เป็นสมุทัย เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ พอไหลออกไปมันก็หลงโลก มันก็สร้างความทุกข์ขึ้นมาให้ตัวเอง ท่านบอกว่า 「ธรรมชาติของจิตย่อมส่งออกนอก」 ฉะนั้นจิตไหลไม่ห้าม ห้ามไม่ได้ ไม่มีใครห้ามได้ จิตเป็นอนัตตา มีธรรมชาติที่จะออกรู้อารมณ์ เพียงแต่ว่าเมื่อมันออกรู้อารมณ์แล้ว ให้เรามีสติรู้ทันเท่านี้เอง จิตหลงไปดู มีสติรู้ จิตหลงไปฟัง มีสติรู้ จิตหลงไปฟัง มีสติรู้ จิตหลงไปคิด มีสติรู้ ไม่ได้แปลว่าห้ามดู ห้ามฟัง ห้ามคิด
ไปเห็นรูปสวย ถ้าเราเห็นได้เร็ว เราก็จะเห็นว่า ตอนนี้จิตหลงไปดู วงจรแห่งความปรุงแต่ง ก็ดับตรงนั้นเลย มีผัสสะปุ๊บ สติรู้ทัน ว่านี่กำลังดูรูปอยู่ นี่ก็แค่รูป ไม่ใช่ผู้หญิงสวย แต่เป็นรูปรูปหนึ่ง เห็นอย่างนี้ปุ๊บ ไม่ปรุงต่อแล้ว ถ้าตัวนี้ยังไม่ทัน ตาเห็นรูปแล้ว เกิดความรู้สึกสุขขึ้นมา รูปนี้สวยถูกอกถูกใจ มีความสุข เห็นคนนี้เกิดขึ้น มันมาให้เราเห็น ศัตรู ใจเราทุกข์ แล้วเดือดเร่าๆๆๆ แล้ว มีสติรู้ คอยรู้เวทนาที่เกิดขึ้น รู้สังขารที่เกิดขึ้นในใจเรา อันนี้ก็ยังดี ใช้ได้ แต่ถ้ามันครอบงำไปแล้ว อย่างไรก็ทุกข์ ใจเราต้องเป็นทุกข์แน่นอน
จับหลักได้ไหม ต้องการความสงบทำอย่างไร น้อมจิตไปอยู่ในอารมณ์อันเดียว ที่มีความสุขอย่างต่อเนื่อง แต่วงเล็บไว้นิดหนึ่ง (อารมณ์นั้นต้องไม่กระตุ้นกิเลส) ถ้าต้องการให้จิตตั้งมั่น ก็คือเมื่อมีการกระทบอารมณ์ ให้รู้ทันจิตตัวเอง รู้ทันจิต จิตมันก็กลับมาตั้งมั่นอัตโนมัติ แล้วถ้าจะทำวิปัสสนาทำอย่างไร เจริญปัญญา มีสติรู้รูปนามกายใจอย่างที่มันเป็น แต่เราต้องรู้ด้วยจิตที่ตั้งมั่น พอจิตเราตั้งมั่น เราจะเห็นรูปมันทำงาน เหมือนเราดูละครแล้ว เห็นนามธรรมมันทำงาน เหมือนเราดูละครแล้ว เป็นแค่คนดู
จิตตั้งมั่นเป็นแค่คนดู แล้วเราถึงจะเห็นความจริงของรูปของนามได้ การที่เราไม่ใช่ผู้แสดง แต่เราเป็นผู้ดู เราดูได้ชัดกว่าผู้แสดง ใครเคยดูมวยไหม ดูในทีวีก็ได้ สังเกตไหมว่าโคชเยอะมากเลย เห็นไหมตะโกนโหวกเหวกๆ ต่อยเลย เตะเลย เอ้า เตะขวา เตะน่อง เตะโน่น สอนกันเยอะแยะเลย ทำไมคนดูมันสอนเก่ง เพราะมันเป็นคนวงนอก มันรู้นักมวยคนนี้มีจุดอ่อนตรงไหน มันดูจากคนวงนอก ส่วนคนที่ไปชกจริง มันเมาหมัด มันดูไม่ออก
กรรมฐานก็เหมือนกัน ต้องดูแบบคนวงนอก จิตตั้งมั่นเป็นแค่คนดู แล้วเราถึงจะเห็นอะไรชัด เห็นความจริงของรูปของนามได้ ถ้าจิตเราไหลเข้าไปคลุกวงใน ดูอะไรไม่รู้เรื่องหรอก ตัวนี้เป็นตัวแตกหักเลย ที่ว่าภาวนากันแล้ว ทำไมเข้าไม่ถึงมรรคผลกันเสียที เพราะจิตมันไม่ตั้งมั่น พอจิตตั้งมั่น ไปเห็นรูปเห็นนามกระทบอารมณ์แล้ว บางทีมันไม่สักว่ากระทบหรอก มันแถมด้วยความยินดียินร้ายเข้ามาด้วย
เห็นผู้หญิงสวย จิตมีราคะขึ้นมา ชอบ พอเราชอบผู้หญิงคนนั้น ราคะนี้เราปล่อยทิ้งแล้ว มีก็ไม่เป็นไร ไม่สนใจมันแล้ว ก็ให้รู้ทันตัวเอง ไปชอบเขาแล้วก็ให้รู้ หรือเวลาความสุขเกิดขึ้น เรารู้ว่ามีความสุข แล้วเราชอบความสุขที่เกิดขึ้น อันนี้ก็ให้รู้ว่าชอบ จิตไม่เป็นกลาง เพราะฉะนั้นจิตตั้งมั่นแล้วเห็นสภาวะ ก็ยังมีปัญหาอีก มันอาจจะไม่เป็นกลางกับสภาวะขึ้นมาอีก ถ้ามันเกิดไม่เป็นกลางกับสภาวะ ให้รู้ทันลงไปอีกชั้นหนึ่ง จิตยินดีให้รู้ทัน จิตยินร้ายให้รู้ทัน
อย่างเวลาเราเห็นคนหนึ่ง เราไม่ชอบ พอเห็นปุ๊บความโกรธเกิด เรามีสติรู้ความโกรธ ถ้าเห็นจิตมันจะตั้งมั่นขึ้นมา แต่ว่าพอเห็นแล้ว มันไปเกิดความเกลียดคนนี้ แล้วมันไปเกิดความเกลียดความโกรธของตัวเอง ใครเคยโมโหตัวเองไหม ลองยกมือหน่อย มีไหม ใครเคยโกรธตัวเองบ้าง เห็นไหมเป็นทุกคนล่ะ เพราะฉะนั้นเวลาเรากระทบอารมณ์อันหนึ่งแล้ว จิตมันยังมีปฏิกิริยาต่อเนื่อง มีปฏิกิริยาลูกโซ่ เป็นความยินดียินร้าย ให้รู้ทันตัวนี้เข้าไป ตัวนี้เป็นปัจจุบัน ส่วนความรู้สึกอันแรกจบไปแล้ว แล้วเกิดความยินดียินร้ายขึ้นมาแทนที่ ยินดียินร้ายเลยเป็นปัจจุบัน
เพราะฉะนั้นถ้าเราดู ดูความโกรธ แล้วทำไมมันไม่หายสักที เราดูไม่เป็นหรอก อย่างเวลาเราเห็นจิตโกรธ เราไม่ชอบ ความโกรธ สมมติว่าโกรธนายคนนี้ โกรธครูบา เอ๊ะ ทำไมไม่หายสักที มองหน้าครูบาไปแล้ว เมื่อไรจะหายโกรธ ก็เอาเชื้อเพลิงใส่เข้าไปเรื่อยๆ แล้วตรงที่อยากหายโกรธนั้น จิตมันไม่ชอบความโกรธ เคยเห็นไหม ตัวนี้สำคัญ มันละเอียดมากขึ้น มากกว่าที่จะรู้ว่าตอนนี้โลภ โกรธ หลงอะไร คือรู้ว่าตอนนี้กำลังยินดีกับอารมณ์อันนี้ กำลังยินร้ายกับอารมณ์อันนี้
รู้ทันตัวนี้เข้าไป ตัวนี้ละเอียดมากกว่าการรู้โลภ โกรธ หลง เสียอีก มากกว่ารู้กุศล มากกว่ารู้สุขรู้ทุกข์ ความสุขเกิดขึ้น รู้ว่ามีความสุข เออ เก่ง ยินดีในความสุขเห็นไหม ถ้าไม่เห็นก็จะติดสุข ความทุกข์เกิดขึ้น รู้ว่ามีความทุกข์ ก็เก่งระดับหนึ่ง รู้ไหมว่ากำลังเกลียดความทุกข์ ถ้ารู้นี้เก่งจริง ถ้าไม่รู้ว่ากำลังเกลียดความทุกข์อยู่ ไม่เก่งจริง อย่างเวลาเรามีความทุกข์ เราดูจิต เราก็เมื่อไรมันจะหาย เมื่อไรมันจะหาย อันนี้ดูด้วยความเกลียดความทุกข์ ความเกลียดอยู่ในตระกูลอะไร ตระกูลโทสะ
เพราะฉะนั้นความทุกข์นั้นไม่หายหรอก เราเอาโทสะมาใส่เข้าไปอีก เรายิ่งทุกข์หนักกว่าเก่าอีก ฉะนั้นเวลาที่เราเดินปัญญา รู้สภาวะที่กำลังมีกำลังเป็น แล้วก็จิตใจเราเกิดปฏิกิริยาอย่างไร ยินดีให้รู้ทัน ยินร้ายให้รู้ทัน จิตก็จะไม่ใช่แค่ตั้งมั่น แต่ว่าจะตั้งมั่นแล้วก็เป็นกลางด้วย คือจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลางนี้ล่ะ คือจิตที่เดินปัญญาได้อย่างแท้จริง ทำวิปัสสนาได้อย่างแท้จริง ลำพังจิตตั้งมั่น แต่ว่ายังไม่เป็นกลางง่ายๆ ตั้งมั่นแล้วเดี๋ยวก็ไหลอีกแล้ว ยินดีบ้าง ยินร้ายบ้าง
เห็นกิเลสก็เกลียด เห็นกุศลก็ชอบ อันนี้ไม่เป็นกลาง ไม่เป็นกลางจิตก็ดิ้นรนมากต่อไปอีก ปรุงแต่งต่อไปอีก ก็ยังใช้ไม่ได้ ค่อยๆ ฝึกไป เพราะฉะนั้นทีแรกรู้สภาวะที่มีที่เป็น รู้ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นที่ใจ แล้วปฏิกิริยาชั้นลึกลงไป ก็คือยินดียินร้าย รู้ลงไป ไม่ต้องพยายามดู ดูเท่าที่ดูได้ ไม่ใช่มานั่งอยู่ตอนนี้ ไหนตอนนี้ยินดีหรือยินร้าย นี่คิดเอาแล้ว ฟุ้งซ่านแล้ว ต้องดูเอา
หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 7 กันยายน 2567
主題: 中文書籍 · 阿紫翻譯 · 中文字幕 · 法談摘錄 · 法譯文集 | |||
---|---|---|---|
法語微言 · 學篇 · 戒學篇 · 心學篇 · 心念處篇 · 身念處篇 · 慧學篇 · 五蘊篇 · 奢摩他篇 · 毗缽舍那篇 · 覺性篇 · 四聖諦篇 · 八支聖道篇 · 解脫篇 |
首頁 · 歷屆中文 · ไทย · EN課程總覽 | |
---|---|
中國 | C:1 · 2 · 3 |
泰國 | T:1 · 2 · 3 · 4 · 5 · 6 · 7 · 8 · 9 · 10 · 11 · 12 · ☆第13屆泰國四念處課程實錄 |
大馬 | M:1 · 2 |
遠程 | E:1 · 2 · 3 · 4 · 5 · 6 · 7 · 8 · 9 |
日常 | D:2013 · 2014 · 2015 · 2016 · 2017 · 2018 · 2019 · 2020 · 2021 · 2022 · 2023 · ☆2024年度最新視頻回放 · 本年網盤 |
註:C-國內 · T-泰國 · M-大馬 · E-遠程 · D-日常 · 幫助文檔 |
媒體平台 |
---|
法堂直播·簡版 · 法藏資源 · 法寶雲盤 · 法訊互助 | 禪窗 · 甘露雨 · 指月錄 · 當下就啟程吧 · 溫柔的法音 · Go Sati |
全球: 解脫園 · 甘露雨 · 甘露雨APP · 千聊 · 四念處 | Podcast-中 · Podcast-EN · Podcast-ไทย · 四念處學會| 海外: YT·Audio-中 · YT-中· YT-ไทย · YT-EN · FB-中 · FB-ไทย · FB-EN · 靜慮林 |