有觉性 以安住且中立的心 照见身心的实相
优秀佛教徒应具备的素质
优秀佛教徒应具备的素质
修行啊,别心急。有人不停地来向隆波请教,为什么它没有什么进步。你想进步到哪里?不需要进步到哪里,就活在当下。只是想要去,要去哪里?要能活在当下。这样就没有所谓的太快、太慢之类的话,太慢是因为没有像我们想的那个样子。太快也是一样的。
有的人修行,想得很多,害怕很快就证悟道果了,这样奇奇怪怪的也有。有的人害怕万一修行了之后,证悟到三果阿那含,就无法品尝五欲了。哎呀,你别害怕,那些用心修行的人都还抵达不了,你害怕什么?又去不了!
有一种人又太想要了,想快一点见法,想涅槃。涅槃并没有因为想要而获得,得到是因为想要止息了。想要止息了,是因为有智慧,全都是有因有果的。如果我们有智慧,看到名色、身心的实相,欲望才能够止息。别的智慧是依然无法止息欲望的。
因此,我们的主要工作是来学习、了解自己的身心,这是佛教徒的职责。佛教徒是学生,学生学习什么?学习我们自己,认识、了解自己的身心。一旦彻底地了解了这个身、这颗心是无常、苦、无我的,根本没有什么,根本没有一个实体,不是人、不是我、不是众生、不是他,这个称之为心已经契入法流了。心契入法流,就会是“恒常”的了,就一定会离苦了,有一天必然证悟阿罗汉。
因此,我们要先了解:心要想能够契入法流,初果圣者非常重要的一个特质是必须要学!自己找资料去读吧。现在,网络上有很多经典,以前不太有,想学什么东西,想了解什么东西,要翻书翻到死,现在容易了。
如果我们想快一点证悟初果,就别去想要,而是去执行自己的职责:自行学习,彻底地认识、了解自己。去观察自己的心,自己的心对于三宝的信仰是否很坚定、很稳固呢?我们的心有很漂亮的戒吗?如果还不够漂亮,那就努力地去好好地持戒。
初果圣者的一个特质就是很稳固地信奉三宝。我们依然还有起伏吗?真正信仰三宝的人并不多,大部分人信奉的都是利益。比如,去礼佛是希望自己发财、幸运吉祥,那个并没有在供奉三宝,即便是礼佛也并不是在供奉三宝、礼敬三宝。去亲近、顶礼高僧大德,让他去浇甘露水求幸运吉祥,那并不能够称之为信奉三宝。信奉三宝作为自己的靠山,是为了自己真的可以离苦。
我们要看,佛陀已经不在了,他的化身就是戒与法,我们真的尊重、恭敬戒与法吗?比如,法让我们别去干坏事,我们依然还在做吗?如果我们依然还在面无惭色地干坏事,说明我们不恭敬戒与法,那个称之为我们不恭敬三宝。
找出家人就只是去供奉那些很有名的开光大师,不停地结缘佛牌。开光的圣物,是为了接引那些根器很钝的人。但如果根器很利的人,他也会教法,包括森林派的阿姜曼尊者,他也有做一些,但是他的主要的工作还是弘法,只是偶尔做一做而已。
因此,我们要观察我们自己对于三宝的信仰稳固到什么程度,还是认为三宝是我们的摇钱树,可以给我们带来利益。非常多的人利用佛教来赚钱。如果是在隆波寺庙的附近,隆波就把他赶走,因为佛陀的法是非常高尚的,不是用来赚钱的。
因此,我们自己是真的恭敬三宝吗?恭敬三宝必须要学法,必须要学习,法与戒是佛陀的化身、代表。
还有另外一条,就是我们的戒很好吗?要去观察自己,如果戒依然还有缺失,我们就还不是好的佛教徒,还不是佛陀的好孩子。我们不尊重佛陀,他教我们持戒,我们不持守,这样并不是真正的佛教徒。如果我们破戒的时候依然面无惭色,就别抱怨自己的修行没有进步。怎么可能进步呢?没有下到地狱就已经很好了。
还有另外一条,就是我们相信业果法则吗?还是有时候相信,有时候不相信呢?或者有些天根本不相信?要去观察自己。比如,相信业果法则的人就会相信:我们必须要透过自己的精进而离苦,我们做合适的业,就会获得合适的果。
如果我们正确地去布施、持戒、修行,并且累积足够,我们就会获得道果。因此,一切取决于我们的所作所为。比如,如果我们干坏事,我们去求赐福,求所有的出家师父、佛、菩萨、天神来帮忙,没有谁可以帮得了我们。
因此,真正好的佛教徒,比如初果的圣者就不会相信谣传,就不会听说这个好、那个好,就很兴奋、很高兴。
隆波以前也经常看到,有些事情,根本不是,但却炒得很热,很流行。比如,有些出家人,信仰、信奉的人很多,只是听说这位出家人很好、信仰的人很多,就认为他肯定很好。在出家人安排活动托钵的时候,有成千上万的人去给他供钵,很多人会相信这种谣传。
或者是以前,相信印度有隐士、有神通,这么厉害、那么厉害。或者相信在尼泊尔有佛陀重新来出生了,这些人都是相信谣传的,根本没有因,没有果。
我们骨子里面趋向这些东西的原因,是因为我们内心的脆弱,我们并没有想要靠自己。我们并没有想要靠自己去培养美德,而是想着要靠别人,靠别的事物。唉,以为这棵树很殊胜,然后去顶礼、去膜拜……
各种各样的情况,各种各样的现象。在泰国充满了各种各样杜撰的故事,然后因为这个故事又会产生很多的产品,我们就不停地一代一代地去追逐。这一段时间流行这个,那一段时间流行那个,最后生命跟原先一样的苦,没有任何的起色。
因此我们不能愚昧,一定不能愚昧!愚昧并不是佛教徒的特质。初果的圣者不愚昧,比如说我们想证悟初果,那就不要愚昧、不要迷信,我们必须要相信业果法则——有业和业的果报。这些必须要慢慢地去训练自己。还有另外一点,一旦知道我们必须要靠自己,我们就在身口意方面去正确地行持。
有的人很容易因为听说这位很好、那位很好就去做功德。有钱,有时候上百万地去供养,希望自己可以获得突破。
以前也有,穿着出家人的袈裟,谁想修行很好,必须要付钱,然后把他带到山顶上去修行,他就很法喜,有机会跟有名的人在一起就觉得很好。那个并不是做功德,那并不是属于佛教里面的做功德。即便是把钱供养给出家人、供养给寺庙,他的目的是不正确的,并不是为了要护持佛教,而是为了让自己变成很亲近的弟子,那个称之为是佛教之外的功德了。
我们看到别的宗教有困难了,我们去护持、去帮助他们,比如说他们没有饭吃,我们给他们饭吃,这属于佛教里面的功德。对非佛教徒做功德,做是为了别人的利益,为了减少自己的烦恼习气。这些我们必须要去落实,
必须要恭敬戒与法,要不停地去提升自己。
不着急,并不是带着想要去修行,并不是想要快一点进步。想要是生起苦的因,想要并不是离苦的因,因此,别带着欲望去修行。要有这样的观念:我们修行是作为供佛的工具,我们修行是为了供佛,并不是为了让自己得到什么。我们是来供奉、供养、感恩他的美德。他有非常多的美德,他找到法是很困难的,教法也是很困难的。
教法并不是件容易的事情。以前有一位高僧大德,他说教法啊,就像把牛推到山顶,把牛推到山上并不容易。以前的高僧大德还有一个词,说教法啊,像把大石头滚上山,那现在这个时代已经不是大石头了,现在是牛了,如果你拼命去推的话,他反而会用角来顶你了。
เราต้องพยายามช่วยตัวเองให้มาก เรียนหลักของการปฏิบัติ เราลงมือปฏิบัติไม่ใช่เพื่อเอาผลประโยชน์อะไรเข้าตัว ไม่ใช่เพื่อกระทั่งมรรคผลนิพพาน ถือว่าเราปฏิบัติบูชาพระพุทธเจ้า ท่านตรัสรู้มาลําบาก ท่านสอนด้วยความยากลําบาก ต้องต่อสู้อะไรมากมาย อย่างเราเคยสวดไหมบทพาหุงฯ นั่นเป็นตัวอย่างการต่อสู้ของพระพุทธเจ้า กว่าจะให้ศาสนาดํารงมั่นคงอยู่ได้ต้องผ่านศึกผ่านอะไรมามากมายเหลือเกิน เพราะฉะนั้นเป็นคุณของท่าน และยิ่งเราภาวนา เรารู้เราเข้าใจตามท่านไปเรื่อยๆ เป็นลําดับ
เราจะอัศจรรย์ในพระปัญญาตรัสรู้ของท่าน ยิ่งเราภาวนาเข้าถึงจิตถึงใจจนเราเห็นกระบวนการทำงานของจิตใจ คือปฏิจจิสมุปบาท โอ จิตมันปรุงทุกข์ขึ้นมาได้อย่างนี้ๆ ด้วยเหตุด้วยปัจจัยอย่างนี้ๆ อัศจรรย์มาก อัศจรรย์เหลือเกินพระปัญญาตรัสรู้ ยิ่งเราภาวนาเราก็ยิ่งเคารพยิ่งศรัทธาแน่นแฟ้นมากขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ
ยังเป็นปุถุชน ศรัทธาก็ยังกลับกลอกอยู่ เรียกศรัทธาที่แกว่งไปมา ถ้าเราภาวนาจนเราเป็นพระโสดาบัน เราจะมีศรัทธาที่แน่นแฟ้น เรียกอจลศรัทธา ศรัทธาที่ไม่คลอนแคลน ไม่งอนแง่น ไม่เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง เพราะอะไร เพราะเราเห็นความจริงแล้ว ว่าพระพุทธเจ้าสอนความจริง เราลงมือปฏิบัติเข้าถึงความจริงอันนั้น เราพ้นทุกข์ได้จริงๆ พระพุทธเจ้ามีจริง พระธรรมมีจริง พระสงฆ์มีจริง ศรัทธาอย่างนี้มันแน่นแฟ้น ศรัทธาของปุถุชนคลอนแคลน
กัลยาณมิตรเป็นทั้งหมดของพรหมจรรย์ อย่างพวกเราส่วนมากเราก็คงจะเป็นปุถุชน ถ้าเราเป็นปุถุชนทำอย่างไร ศรัทธาที่คลอนแคลนนี้ถึงจะเอาตัวรอดได้ ให้รู้จักคบคนที่ดีๆ คนที่มีศีลมีธรรมด้วยกัน มีเพื่อนกัลยาณมิตร ภาวนา มีเพื่อนภาวนาไปด้วยกัน บางช่วงคนนี้ท้อใจ อีกคนยังฮึกเหิมอยู่ ก็กระตุ้นเตือนกัน พากันเดินไป ประคับประคองกันเดินไป
ยิ่งถ้าเราสามารถชวนคนในบ้านเรา อย่างสามีชวนภรรยาภาวนาไปด้วยกันอะไรอย่างนี้ ภรรยาชวนสามีภาวนาไปด้วยกัน พ่อแม่ลูกภาวนาด้วยกัน มันจะกระตุ้นเตือนกัน วันนี้คนนี้ท้อแท้ อีกคนยังเข้มแข็งก็ชวนกัน แต่ถ้าเราคบคนเหลวไหล เรามีจิตใจเข้มแข็งมั่นคงต่อพระรัตนตรัย เราไปคบคนเหลวไหล มันก็ชวนเราเหลวไหล สุดท้ายเราก็กลายเป็นคนเหลวไหล เราคบคนชนิดไหนเรามีแนวโน้มที่จะกลายเป็นคนชนิดนั้น
เพราะฉะนั้นการเลือกคบคนเป็นเรื่องสำคัญที่สุดเลย ที่จะดำรงตัวเองอยู่ท่ามกลางศรัทธาที่ยังกวัดแกว่งอยู่ เพราะฉะนั้นถ้าเราไปดูมงคลสูตร สิ่งที่เป็นมงคลกับชีวิตเรา ข้อที่หนึ่งคือไม่คบคนพาล คนที่ชักนําเราไปสู่ทางผิด ข้อที่สอง ให้คบบัณฑิต คือคนที่ชักนําเราไปสู่เส้นทางที่ถูกต้อง ถ้าจุดเริ่มต้นตรงนี้ผิด ไม่ต้องมาพูดเรื่องมรรคผลนิพพานแล้ว
พระพุทธเจ้าถึงบอกกัลยาณมิตรเป็นทั้งหมดของพรหมจรรย์ ของการประพฤติปฏิบัติธรรม คู่กับอีกสิ่งหนึ่งคือโยนิโสมนสิการ ท่านพูดไว้ 2 อย่าง บางที่ท่านก็บอกว่ากัลยาณมิตรเป็นเครื่องหมายแรกของอริยมรรค ท่านเปรียบเทียบเหมือนตอนพระอาทิตย์จะขึ้น พระอาทิตย์จะขึ้นมันจะมีแสงเงินแสงทอง แสงเงินฟ้ามันจะเริ่มขาวๆ ทางตะวันออกแล้วพอพระอาทิตย์มันขึ้นมากขึ้น ท้องฟ้าที่ขาวๆ มันจะเปลี่ยนเป็นสีแดง นี้ที่เรียกแสงเงินแสงทอง แสงเงินแสงทองนั้นเป็นเครื่องหมายแรกเรียกบุพนิมิต แสงเงินแสงทองเป็นบุพนิมิต คือเป็นเครื่องหมายแรกที่บอกเราว่าพระอาทิตย์กําลังจะขึ้น กัลยาณมิตร การที่เราได้คบคนดี ชักนํากันไปในทางดีในทางที่จะเจริญในธรรม เป็นเครื่องหมายแรกที่เราจะเข้าถึงอริยมรรคอริยผลได้
อีกที่หนึ่งท่านก็สอนบอกว่าโยนิโสมนสิการเป็นเครื่องหมายแรก ท่านสอนคนละคนกัน คนละคน คนนี้ควรสอนธรรมอันนี้ สอนว่าให้มีกัลยาณมิตร ท่านก็สอนคนนี้ให้มีกัลยาณมิตร คนนี้จิตใจเขาเข้มแข็งกว่า ไม่ต้องการพึ่งใครมากมาย เขาสามารถเดินได้ด้วยความเด็ดเดี่ยว ท่านก็สอนให้มีโยนิโสมนสิการ
ความเก่งของพระพุทธเจ้าท่านรู้จักจําแนกแจกธรรมที่สมควรแก่แต่ละคน แต่ละคนเหมาะกับธรรมะแตกต่างกัน เพราะฉะนั้นเวลาท่านสอนธรรมะ บางทีสอนแตกต่างกัน ประโยคเดียวกันแต่ว่าสอนคนละคน ก็เนื้อในเปลี่ยนนิดหนึ่งอะไรอย่างนี้ เป็นคนละเรื่องไปเลย นี่เป็นความเก่งของท่าน ถ้าเราท่องตํารามาเจอใครเราก็บอก ให้มีกัลยาณมิตร ให้มีโยนิโสมนสิการ พูดไปอย่างนั้น เจอใครก็พูดเหมือนกันหมด ทั้งๆ ที่ธรรมะนั้นไม่ได้เหมาะกับคนๆ นั้น
ฉะนั้นการถ่ายทอดธรรมะไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เรื่องยากเลย ไปแนะเขาผิดบาป ไปสอนให้เขาหลงทาง ทำให้การเดินทางในสังสารวัฏของเขายืดยาวออกไปอันตรายกับตัวเองด้วย อันตรายกับของคนอื่นเขาด้วย ทุกวันนี้เห็นไหม พวกเดียรถีย์ พวกอลัชชีออกมาสอนอะไรต่ออะไรกันเยอะแยะไปหมด แปลกๆ นอกพระไตรปิฎก พวกนี้เราอย่าไปเข้าใกล้ เข้าใกล้ไปคบคนพวกนี้ เราจะเสื่อม ดูคำสอน ศึกษาปริยัติไว้บ้างก็ดี เราจะได้รู้ว่าอันไหนถูกอันไหนผิด
หลวงพ่อก่อนที่จะภาวนา หลวงพ่ออ่านพระไตรปิฎกก่อน ที่อ่านพระไตรปิฎกเพราะว่าไม่รู้จะภาวนาอย่างไร ทำได้แต่สมถะ แล้วก็รู้ว่ากิเลสมันก็เหมือนเดิม ไม่เห็นมันจะลดลงตรงไหนเลย ความทุกข์มันก็เหมือนเดิม ไม่เห็นมันจะลดลงตรงไหนเลย ก็พยายามค้นคว้าในพระไตรปิฎก อ่านแล้วอ่านอีก อ่านหลายรอบ บางทีไม่ได้เรียนบาลีแต่ก็อุตส่าห์เอาพระไตรปิฎกบาลีมาวางทาบกับพระไตรปิฎกภาษาไทย ก็ดูคําแปลของเขาไปเรื่อยๆ พยายามค้นหาวิธีปฏิบัติ หาไม่เจอ
จนมาได้กัลยาณมิตรคือหลวงปู่ดูลย์เป็นกัลยาณมิตร ไม่ใช่เป็นเพื่อน กัลยาณมิตรไม่ได้แปลว่าเพื่อน อย่างครูบาอาจารย์เป็นกัลยาณมิตร พระพุทธเจ้าเป็นยอดของกัลยาณมิตร เจอหลวงพ่อดูลย์ก็จับหลักได้ว่าต้องรู้เท่าทันจิตตนเองก่อน ให้จิตมันตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมา เอาจิตที่ตั้งมั่นไปเรียนรู้ความจริงของรูปนามกายใจ จับหลักตัวนี้ได้เลยภาวนาได้ มีกัลยาณมิตร
โยนิโสมนสิการ เวลาภาวนาไปบางครั้งเกิดติดขัดขึ้นมา มีโยนิโสมนสิการ สังเกตตัวเอง อย่างภาวนาแล้วจิตมันว่างสว่างอยู่เป็นเดือนอยู่เป็นปี มีโยนิโสมนสิการ สังเกตตัวเองว่ามันต้องมีอะไรผิดแล้วล่ะ พระพุทธเจ้าบอกว่าจิตไม่เที่ยง ทำไมจิตเราเที่ยง ท่านบอกจิตเป็นทุกข์ ทำไมจิตเราเป็นสุข ท่านบอกจิตเป็นอนัตตา บังคับไม่ได้ ทำไมเราบังคับได้ มันผิดตรงไหน อย่างนี้เรียกว่าโยนิโสมนสิการ เรากําลังภาวนาไป เราพบสภาวะอย่างนี้ๆ เราพิจารณาด้วยคําสอนของพระพุทธเจ้า คําสอนของพระอรหันต์สาวกในพระไตรปิฎกอะไรอย่างนี้ มี
หรือคําสอนของครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์สอน หลวงพ่อยังไม่เชื่อเลย เคารพมากศรัทธามาก แต่เวลาครูบาอาจารย์สอน หลวงพ่อฟัง หลวงปู่ลย์เคยถามหลวงพ่อเลย วันหนึ่งท่านสอนบอก พบผู้รู้ให้ทำลายผู้รู้ พบจิตให้ทำลายจิต จึงจะถึงความบริสุทธิ์อย่างแท้จริง เชื่อไหม เราก็อึกอัก แล้วบอก ผมยังไม่เห็นๆ แต่ผมจะจําไว้ บอกท่านอย่างนี้ ท่านยิ้มเลย ท่านบอกมันต้องอย่างนี้ ไม่ใช่เอะอะก็เชื่อเลย อันนั้นโง่
อย่างหลวงปู่ดูลย์ท่านบอกว่าให้ดูจิต “จิตที่ส่งออกนอกเป็นสมุทัย ผลที่จิตส่งออกนอกเป็นทุกข์ จิตเห็นอย่างแจ่มแจ้งเป็นมรรค ผลที่จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งเป็นนิโรธ” ท่านสอนว่าให้รู้ทันจิตตัวเองนี่เป็นการเจริญมรรค หลวงพ่อก็งงแต่ว่าจําที่ท่านบอกไว้แล้วเอาไปลองทำดู ที่งงเพราะว่าพระพุทธเจ้าสอนว่าให้รู้ทุกข์ ทำไมหลวงปู่ดูลย์บอกให้รู้จิต เอ๊ะ ทำไมหลวงปู่สอนไม่เหมือนพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่ผิดแน่นอน หลวงปู่ก็ไม่น่าจะผิด
เราเองมีความเข้าใจอะไรที่ยังไม่เข้าถึงแก่นหรือเปล่า ไม่ได้คิดว่าพระไตรปิฎกผิด งมงายเชื่อแต่อาจารย์บอกพระไตรปิฎกผิด หรือเห็นว่าครูบาอาจารย์สอนอะไร ภาษาไม่เหมือนพระไตรปิฎก บอกครูบาอาจารย์ผิด นี่หยาบไป ไม่มีสติมีปัญญาพอ หลวงพ่อไม่คิดอย่างนั้น หลวงปู่ดูลย์บอกให้ดูจิต พระพุทธเจ้าบอกให้รู้ทุกข์ หลวงปู่ดูลย์ให้รู้จิต ทำไมไม่เหมือนกัน เราไม่เข้าใจตรงไหน ไม่เข้าใจทำอย่างไร แขวนไว้ก่อน ไม่คิดมาก คิดมากยากนาน
เราก็หัดดูจิตดูใจของตัวเองทำงานไป ก็รู้ว่านี่มันอยู่ในเรื่องของสติปัฏฐาน ที่หลวงปู่ดูลย์บอกให้อ่านจิตใจตนเองก็อยู่ในสติปัฏฐาน 4 นั่นล่ะ อย่างใจเรามีความสุขความทุกข์ขึ้นมามันอยู่ในเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ใจเราเกิดกุศลอกุศลขึ้นมามันอยู่ในจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน เราเห็นเวทนามันจะเกิดได้ อาศัยตา หู จมูก ลิ้น กายกระทบอารมณ์ภายนอก หรือใจกระทบความคิดนึก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันก็รูป
เราก็จะเห็นการทำงานระหว่างกายกับใจมันก็เนื่องด้วยกัน เนื่องถึงกัน ตาเห็นรูป เกิดความสุขความทุกข์ขึ้นที่ใจ หูได้ยินเสียงเกิดสุขทุกข์ที่ใจ ฉะนั้นเวลาภาวนาไม่ใช่รู้แต่จิต มันก็พลอยรู้รูปไปด้วย เพราะมันเป็นจุดตั้งต้นให้เกิดนามธรรมที่เราจะดูจิตใจตัวเอง เฝ้ารู้เฝ้าดูเรื่อยๆ แล้วก็เห็นจิตมันพอละเอียดขึ้น ก็เห็นจิตมันทำงานทางอายตนะ ตรงที่เห็นจิตมันทำงานทางอายตนะมันขึ้นไปสู่ธัมมานุปัสสนาแล้ว
ค่อยดูไปเรื่อยๆ ก็เห็นกระบวนการทำงานที่จิตสร้างความทุกข์ขึ้นมา นั่นคือปฏิจจสมุปบาท อยู่ในธัมมานุปัสสนา ภาวนา อาศัยจุดเริ่มต้นจากการอ่านจิตตนเอง สุดท้ายมันก็รู้กาย รู้เวทนา รู้จิต รู้ธรรม มันเนื่องกันไปหมด กาย เวทนา จิต ธรรมมันเหมือนโต๊ะสี่เหลี่ยมข้างหน้าหลวงพ่อนี้ล่ะ เราจับเข้ามุมหนึ่ง ที่เหลือมันก็เคลื่อนตามมา
ฉะนั้นถ้าสติปัฏฐาน 4 เราทำได้สักอย่างหนึ่ง ที่เหลือมันก็ตามมาเองล่ะ ไม่ยากแล้ว ภาวนามาเรื่อยๆ ก็เห็น ทำอย่างไรหนอ มันจะรู้จิตรู้ใจแล้วคือการรู้ทุกข์ ไม่เห็นว่าจิตมันเป็นทุกข์เลย เห็นจิตนี้เป็นตัวบรมสุข จิตผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มีแต่ความสุข ดูอย่างไรก็ไม่เห็นจะทุกข์เลย การดูจิตนี่มันผิดหรือเปล่า มันไม่เห็นทุกข์ แต่ว่าทนดูไปเรื่อย แล้วก็เห็นความทุกข์ของกาย ของเวทนา ของสังขารทั้งหลาย ดูมันไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ แล้วจิตมันค่อยฉลาดขึ้น ค่อยรวมเข้ามา วางเป็นลําดับๆ ของภายนอก ของหยาบๆ ความปรุงแต่งหยาบๆ รวมเข้ามาที่จิต
จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นมรรค ก็คือการเห็นทุกข์ ค่อยภาวนาเรื่อยๆ วันหนึ่งเห็น จิตมันก็คือตัวทุกข์เหมือนกัน เพราะฉะนั้นที่หลวงปู่ดูลย์บอกว่าจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นมรรค ก็ใช่ ก็คือการเห็นทุกข์เหมือนกัน จิตเห็นจิต แต่ว่าตัวจิตผู้รู้มันเป็นตัวทุกข์ตัวสุดท้ายเลย ตัวสุดท้ายที่เราจะเห็น อย่างเราเห็นร่างกายเป็นทุกข์ เห็นง่าย เห็นเวทนาเป็นทุกข์ ชักจะยากนิดหน่อย อย่างเวทนาคือความรู้สึกสุขทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ ถ้าเป็นความรู้สึกทุกข์ เราเห็นว่าทุกข์ง่าย แต่ความรู้สึกสุขเราเห็นว่าเป็นทุกข์ไม่ใช่ง่ายเหมือนกัน
ถ้าเราดูความสุขเกิดขึ้น เราจะเห็นความสุขก็เป็นเครื่องเสียดแทงใจ พอรู้ว่าความสุขมันเสียดแทงจิตใจ ทำให้จิตใจหวั่นไหว โอ้ ความสุขมันก็เป็นตัวทุกข์เหมือนกัน ไม่ใช่ตัวดีตัววิเศษหรอก ตัวเฉยๆ เราไปแต่งจิตให้เฉยๆ อยู่เรานึกว่าดี ดูไปๆ มันก็ของไม่มีสาระอะไร มันว่างได้ มันนิ่งได้ มันเฉยๆ ได้ เป็นอุเบกขาได้ มันก็แปรปรวนได้อีก มีแต่ความไม่เที่ยง มีแต่การบังคับไม่ได้
ค่อยเรียนไป ก็จะเห็นตัวเวทนาก็เป็นทุกข์ ตัวสังขาร เห็นสังขารคือความปรุงดีปรุงชั่วเป็นทุกข์ เวลาเราปรุงชั่ว สังเกตไหมจิตใจเราไม่มีความสุข พอมันปรุงดี แหม มันอิ่มเอิบ เกิดปีติเกิดความสุขอย่างเราปรุงดี เช่น เราได้ตั้งใจฟังธรรม ตั้งใจปฏิบัติธรรม จิตใจเราดีงามมากเลย มีความสุขมาก จะดูให้เห็นว่ามันเป็นทุกข์ ความดีเป็นทุกข์มันก็ดูยาก เราค่อยๆ ดูไป
ความชั่วสำหรับนักปฏิบัติ ความชั่วเราเห็นเป็นทุกข์ง่าย เพราะฉะนั้นเวลาอย่างจิตเราเกิดราคะขึ้นมาอย่างนี้ จิตใจเราระส่ำระส่าย จิตใจเราเกิดโทสะ จิตใจระส่ำระส่าย ไม่มีความสุข จิตใจเราหลง เหมือนหมาเหมือนแมวหลงๆ ไป ดูแล้วไม่เห็นจะมีความสุขตรงไหนเลย มันเหมือนคนขาดสติเหมือนคนติดยาเสพติด ไม่รู้เรื่องอะไร มันดูแล้ว เอ๊ะ อกุศลทั้งหลายไม่เห็นมันจะสุขตรงไหน ดูง่าย แต่ตรงกุศลดูให้เห็นว่ามันเป็นทุกข์ไม่ใช่ง่าย
ถ้ากุศลหยาบๆ อย่างที่พวกเราทำกันเป็นกุศลอย่างหยาบๆ ยังดูง่าย อย่างเวลาเราไปทำบุญ จิตใจเราเบิกบานขึ้นมา ถ้าเรามีสติรู้เราจะเห็นเลยความเบิกบานที่เกิดขึ้นมันทำให้จิตเสียสมดุล จิต แหม มันพองมันฟู มันดีอกดีใจอะไรอย่างนี้ มันปลื้ม สิ่งเหล่านี้ดีๆ ทั้งนั้นเลย ปลาบปลื้มที่ได้ทำบุญแต่พอเราภาวนาละเอียดเข้า โหย จิตเราเสียความสมดุลไปแล้ว กวัดแกว่งกระเพื่อมไปด้วยแรงของความดี ปรุงดีก็กระเพื่อม ปรุงชั่วไม่ต้องพูดถึงเลย ย่ำแย่ใหญ่
ทีนี้ความปรุงดีขั้นละเอียดดูยากมากเลยว่ามันเป็นตัวทุกข์ ความปรุงดีขั้นละเอียดก็คือพวกฌานสมาบัติ อย่างพวกพระอนาคามี ละกามราคะได้แล้ว ความสุขอย่างโลกๆ ที่พวกเรามี เรียกว่ากามราคะ ความสุขจากการได้เห็น ได้ยิน ได้ฟัง ได้ลิ้มรส ได้สัมผัสอะไรอันนี้เป็นกามราคะ พระอนาคามีเห็นกามราคะมันทุกข์ แต่ท่านก็ไปยินดีพอใจในฌานสมาบัติ ในรูปฌานในอรูปฌาน มองไม่เห็นว่าเวลาจิตเข้ารูปฌานก็ไม่เห็นว่ามันจะทุกข์ มีแต่ความสุข จิตมันเป็นอุเบกขาทรงอยู่มีความสุข หรือมีปีตีมีความสุข
ถ้าสูงขึ้นไปก็เป็นอุเบกขาหรือจิตเข้าอรูปฌาน จิตเป็นอุเบกขา มันสุขอย่างไร มันสุขเพราะว่ามีความเสียดแทงน้อย มันสุขเพราะว่าจิตในฌานมันถูกความเสียดแทงน้อย อะไรเป็นเครื่องเสียดแทง รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะทั้งหลายเป็นกามคุณอารมณ์ ทั้งหลายเป็นเครื่องเสียดแทงจิต ถ้าเราเข้าสมาธิเข้ารูปฌาน จิตก็พ้นจากการเสียดแทงทางตา หู จมูก ลิ้น กายอะไรพวกนี้ เหลือแต่ความเสียดแทงทางใจซึ่งยังมองไม่เห็น รู้สึกว่ามีความสุข หรือเข้าอรูปฌานไป หนีสิ่งที่กระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กายอย่างเด็ดขาด เพราะตา หู จมูก ลิ้น กายหายไปหมดเลย ร่างกายก็หาย โลกนี้ก็หายไป เหลือแต่ใจดวงเดียว
จะให้เห็นว่ามันเป็นทุกข์มันยาก เพราะมันไม่มีเครื่องเสียดแทง ต้องสติปัญญาแก่รอบจริงๆ เห็นว่าสิ่งนี้ก็ยังตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ จิตในรูปฌาน ยังดูง่ายว่าตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ จิตในอรูปฌานดูยากหนักเข้าไปอีก ค่อยภาวนาจนกระทั่งเห็นว่า จิตไม่ว่ามันจะอยู่ในภูมิใด อยู่ในกามาวจรภูมิ รูปาวจรภูมิ อรูปาวจรภูมิ อรูปาวจรภูมิก็อยู่ในอรูปฌาน มันก็ยังไม่มั่นคง ไม่เที่ยง มันไม่เที่ยง มันบังคับไม่ได้ มันยังถูกเสียดแทงอยู่
ถ้ามันไม่ถูกเสียดแทง มันคงไม่ดับหรอก จิตในฌานสมาบัติเกิดแล้วก็ดับ เช่นเดียวกับจิตที่พวกเรามีนี่ล่ะ สติปัญญามันแก่รอบเพราะยังเห็นตรงนี้ก็ไม่มีแก่นสารสาระ เป็นราคะที่ละเอียดขึ้นไป ทำบุญทำกุศลมหาศาล กว่าจะขึ้นมาตรงนี้ได้ แต่พอขึ้นมาสู่ความดีอย่างสูงนี้ได้ อ้าว ลึกๆ ลงไปยังชอบมันอีก มีราคะอีก ฉะนั้นกิเลส กิเลสหยาบๆ ก็ดูง่าย กิเลสละเอียดหน้าตามันเป็นกุศลดูยาก แต่ก็ไม่พ้นสติพ้นปัญญา
ค่อยๆ สังเกตไปเรื่อยๆ อย่าไปนิ่งนอนใจ คิดว่าจบแล้วพอแล้ว หลายคนภาวนาชอบคิด จบแล้ว ไม่จบเลย อันนั้นไม่ใช่จบแล้ว จบเสียแล้วไปไม่รอดแล้ว เคยมีพระมาบอกจบแล้ว มาบอกหลวงพ่อ หลวงพ่อบอกไม่ใช่หรอก ใจท่านหล่นวูบเลย หลวงพ่อบอกเห็นไหมจิตยังมีความยินดียินร้ายอยู่เลย เห็นไหม ท่านบอกเห็นแล้ว บอก เออ ยังยินดียินร้ายระดับนี้ เสียอกเสียใจ นี่โทสะ อนาคามีก็ยังไม่ได้ จากพระอรหันต์ร่วงๆๆ ลงมาเรื่อยๆ โดนกิเลสหลอก
ภาวนาไปแล้วอยากเป็นโน่นเป็นนี่ ก็มโนเอาเป็นโน่นเป็นนี่ หรือบางที่เขาก็ชอบตั้ง ภาวนาตามหลักสูตรครบหลักสูตรเท่านี้ ภาวนาเท่านี้ครั้งได้โสดาบันได้อะไร Non-sense เราวัดความก้าวหน้านี้ วัดด้วยกิเลส วัดที่กิเลสว่าเราละกิเลสตัวไหนแล้ว ยังไม่ได้ละตัวไหน กิเลสที่เราละ ตัวไหนละถาวร ตัวไหนละชั่วคราว ต้องค่อยๆ สังเกตตัวเองไป
กัลยาณมิตรที่สําคัญคือพระไตรปิฎก โยนิโสมนสิการ สังเกตสิ่งที่เรามีสิ่งที่เราเป็น ฉะนั้นการภาวนาที่สําคัญเลยก็คือ อย่างเราต้องมีกัลยาณมิตร ต้องมี กัลยาณมิตรของเราก็คือสุดยอดเลยคือพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่อยู่แล้ว เอาอะไรเป็นกัลยาณมิตร ธรรมวินัย ธรรมวินัยของท่านประมวลอยู่ในพระไตรปิฎก ฉะนั้นพระไตรปิฎกให้เราศึกษาได้ ศึกษาแล้วสังเกต เอามาปฏิบัติให้ได้ นี่ล่ะเป็นยอดของกัลยาณมิตร
แล้วก็มีโยนิโสมนสิการ สังเกตสิ่งที่เราปฏิบัตินี้มันสอดคล้องกับคําสอนในพระไตรปิฎกหรือเปล่า อย่างถ้าบอกว่าไม่ต้องทำอะไรหรอก นั่งแล้วก็พยายามกลั้นลมหายใจให้นานที่สุดเดี๋ยวก็บรรลุ อันนี้ไม่สอดคล้อง เราก็ไม่เอาอย่างนี้ เราตัดทิ้งไปเลยคําสอนชนิดนี้ หรือไปให้เซียนผู้วิเศษเชื่อมจิตเข้ากับพระพุทธเจ้าให้ อันนี้ไม่สอดคล้องกับพระไตรปิฎก เราก็ไม่เอา ปัดทิ้งไป เราก็ใช้วิธีนี้
อาศัยกัลยาณมิตรที่สําคัญคือพระไตรปิฎกแล้วอาศัยโยนิโสมนสิการ สังเกตสิ่งที่เรามีสิ่งที่เราเป็น สิ่งที่เราลงมือปฏิบัติอยู่ วิธีปฏิบัติที่เราทำอยู่สอดคล้องกับพระไตรปิฎกไหม อย่างถ้าเราจะทำวิปัสสนา เราได้เจริญสติปัฏฐานจริงไหม สติปัฏฐาน เบื้องต้นได้สติ เบื้องปลายจะได้ปัญญา โดยเฉพาะได้วิปัสสนาปัญญา ฉะนั้นถ้าเราหลุดออกจากเส้นทางของสติปัฏฐาน ไม่ใช่แน่นอน ไปไหว้เจ้าแล้วก็ขอให้บรรลุมรรคผลอะไรอย่างนี้ ไม่ใช่เส้นทางแน่นอน ถ้าทิ้งการเจริญสติเมื่อไรล่ะก็เราหลุดออกจากเส้นทางของมรรคผลแล้ว เรารู้อย่างนี้ รู้
ต้องการปฏิบัติ ต้องอย่างนี้ ต้องอยู่ในหลักของการเจริญสติ ของการทำสมถกรรมฐาน ของวิปัสสนากรรมฐาน ต้องอยู่ในหลักที่ถูกต้อง แล้วการที่เราภาวนาไปแล้วมีผลอะไรเกิดขึ้น ถ้ามีครูบาอาจารย์ พูดยาก เรารู้ได้อย่างไรว่าองค์นี้ดีไม่ดี ต้องสังเกตเอา ถ้าเรามีครูบาอาจารย์ที่ดี เราทำผิดปุ๊บ ท่านก็บอกเลยทำผิดแล้ว ถ้าทำถูกแล้วท่านจะบอกให้ทำไปอีกๆ ทำต่อไป ยังไม่พอ แต่ถ้าเราไม่มี เราก็ต้องอาศัยพระไตรปิฎก อาศัยคําสอนของพระพุทธเจ้าอย่างที่หลวงพ่อใช้ วัดตัวเอง สิ่งที่เราปฏิบัติมีผลอย่างนี้ๆ มันสอดคล้องกับคําสอนในพระไตรปิฎกไหม อันนี้คือตัวโยนิโสมนสิการ
ฉะนั้นเวลาเราภาวนา เราก็ดูสิ่งที่เรากําลังทำอยู่ปฏิบัติอยู่ สอดคล้องกับหลักธรรมในพระไตรปิฎกไหม ผลที่เกิดจากการปฏิบัติสอดคล้องกับคําสอนของท่านหรือเปล่า วัดกันตรงนี้ วัดด้วยใจของตัวเองที่ซื่อตรงจริงๆ มีโยนิโสมนสิการ ไม่ใช่มีแต่โลภะ ก็เข้าข้างตัวเองเรื่อยๆ ค่อยๆ สังเกตเอา วันนี้เทศน์อะไรหว่า แปลกๆ ไปทำเอาๆ ไม่มีใครช่วยใครได้ ครูบาอาจารย์ที่หลวงพ่อไปเรียนด้วยท่านก็ไม่มาบรรลุมรรคผลอะไรให้หลวงพ่อหรอก หลวงพ่อก็ต้องทำเอาเองทั้งนั้นล่ะ
ทำแล้วถูกตลอดไหม ไม่ ทำแล้วก็ล้มลุกคลุกคลานเหมือนที่พวกเราเป็นนั่นล่ะ แล้วถ้าจะว่าไปหลวงพ่อล้มลุกคลุกคลานมากกว่าพวกเรา ที่พวกเรามาส่งการบ้านทำผิดตรงโน้นผิดตรงนี้ ไม่ใช่เรื่องแปลกสําหรับหลวงพ่อ เพราะหลวงพ่อผิดมาก่อนแล้ว ทำผิดมามากมายแต่ไม่ท้อถอย ค่อยสังเกตตัวเองมาเป็นลําดับๆ มีโอกาสเจอครูบาอาจารย์ บางทีต้องอาศัยท่านแก้ให้ หลวงพ่อเคยอาศัยครูบาอาจารย์ทั้งหมด 7 ครั้งเองในการภาวนา 7 ครั้งเอง เราทำแล้วเราจนปัญญาไม่รู้จะไปอย่างไรต่อ ท่านสะกิดให้นิดเดียวเราก็เข้าใจแล้ว
ส่วนใหญ่ก็จะอาศัยการสังเกตเอา เวลาได้ยินได้ฟังคําสอนต่างๆ ถ้ามันขัดพระไตรปิฎก หลวงพ่อไม่เอาเลย อย่างบอกพระอนาคามีมาเกิดได้อีกอะไรอย่างนี้ บรรลุพระอรหันต์แล้วก็ยังมาเกิดได้อีกอะไรอย่างนี้ มันอรหันต์เทียมแล้วไม่ใช่อรหันต์จริงแล้ว พวกนี้ไม่รู้จัก ไม่รู้ทั้งปริยัติ ไม่รู้ทั้งปฏิบัติ มีแต่ความฟุ้งซ่าน เป็นพวกวิปัสสนูปกิเลส มันจะฟุ้งแบบนี้ ก็เลยคิดว่าตัวเองรู้ มองกิเลสไม่ออก ฉะนั้นทุกวันนี้เวลาฟังธรรมะไม่ว่าใครจะเทศน์ก็ตาม อย่าทิ้งหลักกาลามสูตร อย่าเชื่อง่าย ขนาดหลวงพ่อฟังหลวงปู่ดูลย์สอน หลวงพ่อไม่เข้าใจ หลวงพ่อแขวนไว้ หลวงพ่อไม่เชื่อแต่ว่าไม่ลบหลู่เพราะเราคิดว่าเรายังโง่ เรายังเข้าไม่ถึง แต่เราจะต้องปฏิบัติ และการปฏิบัตินั้นต้องไม่ขัดแย้งกับคําสอนของพระพุทธเจ้า
สุดท้ายถึงเข้าใจ โอ๊ย ที่ท่านบอกว่าจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งเป็นมรรค ท่านพูดแบบออมๆ ไว้ ไม่กล้าพูดตรงๆ เดี๋ยวมีเรื่อง ที่จริงก็คือจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งเป็นอรหัตตมรรค เพราะว่าก่อนหน้านั้น ท่านเดินปัญญากัน ไล่ลงมาจากกาย เวทนา เข้ามาไล่ๆ ไล่ๆ เข้ามา รู้แล้ววางมาเป็นลําดับๆ การปฏิบัติในขั้นสุดท้ายมันมาแตกหักกันลงที่จิตนั่นล่ะ ฉะนั้นที่ท่านบอกจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง อันนั้นถูกเลย แจ่มแจ้งว่าอะไร แจ่มแจ้งว่าเป็นไตรลักษณ์ แล้วเราก็ปล่อยวางจิตได้ ปล่อยวางจิตได้ ก็ปล่อยวางขันธ์ได้ ปล่อยวางขันธ์ได้ ก็ปล่อยโลกทั้งโลกได้ หัวใจสําคัญอยู่ที่จิตของเรานี่เอง ยึดจิตตัวเดียวก็ยึดขันธ์ทั้งหมด มีจิตดวงเดียวก็สร้างขันธ์ 5 ขึ้นมาได้ทั้งหมด วางจิตได้ก็วางขันธ์ 5 ได้ ลงสุดท้ายมันแตกหักลงที่จิต
ฉะนั้นที่ครูอาจารย์ท่านสอนก็ไม่ผิด ตรงกับพระพุทธเจ้า แต่ท่านเพียงแต่ไม่กล้าพูดตรงๆ เดี๋ยวคนหาเรื่องท่าน พวกฟังไม่รู้เรื่องแล้วก็จะพาลพาโลว่าท่านอวดอุตริ หลวงปู่ดูลย์เคยเกือบโดนเรื่องอวดอุตริ เพราะท่านสอนเรื่องจิตนี่ะล่ะ ก็มีพวกพระกรรมฐานพวกหนึ่งไปชุมนุมกันรวมกันมา จะมาโจทอาบัติว่าท่านปาราชิกอวดอุตริ พูดอะไรแต่เรื่องจิตแปลกๆ ทำไมไม่พุทโธพิจารณากาย ไปชวนหลวงตามหาบัว หลวงตาบอกพระองค์นี้เราไม่เล่นด้วย พวกนั้นฟังแล้วเข้าใจ ก็เลยหยุด ไม่กล้าแล้ว ไม่กล้าหือกับหลวงปู่ดูลย์อีก
เพราะฉะนั้นท่านเองเวลาพูดท่านก็ระวังเหมือนกัน ต้องออมๆ พวกมิจฉาทิฏฐิ พวกเซลฟ์จัดมันเยอะ แต่สิ่งที่ท่านสอนมันไม่ได้ขัดกับพระไตรปิฎก ตรงกันเป๊ะเลย ฉะนั้นเวลาพวกเราฟังใครเขาพูด เขาพูดธรรมะฉอดๆ ฉอดๆ ฟังไว้ก่อน ถ้าเขาพูดแล้วถูกหลัก เออ ก็ใช้ได้ แล้วดูผลอีก เขาพูดได้อย่างเดียวหรือเขาทำได้ด้วย ต้องแยก พูดได้กับทำได้ไม่เหมือนกัน พูดง่ายทำมันยาก
ฉะนั้นเรื่องมงคลตื่นข่าวเลิกเสียทีเถอะ มี 10 หลักของกาลามสูตร อย่าลืมอันนี้ ทิ้งกาลามสูตรเมื่อไรก็โง่งมงายเมื่อนั้นล่ะ ไปอ่านเอาเองกาลามสูตร วันนี้เทศน์ให้ฟังเท่านี้ ไปทำเอา ไม่ต้องเชื่อ ถ้าเชื่อก็โง่ ถ้าไม่เชื่อแล้วไม่ทำยิ่งโง่หนักเข้าไปอีก ไปพิสูจน์ด้วยตัวเอง ธรรมะของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ธรรมะที่ชวนให้เชื่อ แต่เป็นธรรมะที่ท้าให้พิสูจน์ เอหิปัสสิโก พึงกล่าวกับผู้อื่นว่ามาลองดูเถิด พระพุทธเจ้ายังบอกไม่ต้องเชื่อท่าน แต่มาลองดูว่าที่ท่านบอกนี้ ทำแล้วพ้นทุกข์ได้จริงไหม
อย่างพวกเราภาวนาอย่างที่หลวงพ่อบอก ทุกข์เราสั้นลงไหม ทุกข์เราน้อยลงไหมเบาลงไหม เราวัดด้วยตัวเองได้ ไม่ต้องมาเชื่อหลวงพ่อโง่งมงายไป วัดด้วยตัวเองล่ะ ผลที่เกิดขึ้นกับชีวิตจิตใจเราเปลี่ยนแปลงไหม วัดเอา
สังเกตอีกอย่างหลวงพ่อไม่เคยขอเงิน ถ้าเจอเทศน์ไพเราะเพราะพริ้งลงท้ายขอเงิน ไม่ใช่ ถอยไว้เลย เออ บอกนิดหนึ่งยุคนี้เอไอมันเก่ง ถ้าวันหนึ่งมีโทรศัพท์เข้าไป มีเสียงหลวงพ่อมีหน้าหลวงพ่อพูด แล้วขอเงิน ด่ามันไปเลย หรือบอกพระวัดนี้ไปขอเงิน โกหกๆ ทั้งนั้นล่ะ พระที่นี่หลวงพ่อไม่ปล่อยให้ไปพูดขอใคร เคยมีหลงๆ ขอโน่นขอนี่ สุดท้ายให้ออกไป อยู่ไม่ได้ ที่นี่ลูกศิษย์พระพุทธเจ้า ไม่ใช่ลูกศิษย์ชูชก ต้องฉลาด
หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 7 กรกฎาคม 2567